ตำนาน “อีมูกิ IMUGI” พญานาคเกาหลี งูยักษ์ มังกร สัตว์ในตำนาน

สัตว์ลึกลับ สัตว์ในตำนานของประเทศเกาหลี ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับพญานาคในประเทศไทยของบ้านเราเป็นอย่างมาก ความเชื่อของชาวเกาหลี อีมูกิ เป็นร่างต้นกำเนิดของมังกรเกาหลี การที่อีมูกิจะเปลี่ยนเป็นมังกรได้นั้นก็ต่อเมื่ออีมูกิต้องได้รับพลังยูอีจู ซึ่งเป็นพลังที่มาจากสวรรค์ อีมูกิต้องมีชีวิตอยู่ 1,000 ปีและต้องได้รับพลังจากสวรรค์คือ ยูอีจู เสียก่อนจะทำให้อีมูกิจะเปลี่ยนร่างจากงูยักษ์เป็นมังกรที่สมบูรณ์ได้นั้นเอง อีมูกิ “IMUGI” : สัตว์ในตำนานของประเทศเกาหลี ตำนานพื้นบ้านของประเทศเกาหลีที่มีการจดบันทึเอาไว้แล้วจะมีสัตว์สิ่งมีชีวิตที่มันเป็นลูกผสมของบรรดาสัตว์ต่างๆเป็นสัตว์ในตำนานที่มีดูลักษณะเป็นงูยักษ์มีขนาดที่ใหญ่มาก มีถิ่นที่อยู่อาศัยในน้ำลึกหรือตามถ้ำ มันมีสัตว์ที่มีพลังในตัวสามารถเปลี่ยนร่างกายของตัวมันเองได้ ชาวเกาหลีโบราณนั้นจะเรียกพวกมันว่า อีมูกิ “IMUGI” พวกมันถือเป็นร่างต้นกำเนิดของมังกรเกาหลี ก่อนที่มันจะกลายเป็นมังกรนั้นต้องตามหา “ยูอีจู” ที่จะเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นมังกรได้ ความเชื่อว่าอีมูกิถูกสาปไม่ให้เป็นมังกร แต่ก็มีอีกความเชื่อหนึ่งว่า อีมูกิเป็นร่างต้นกำเนิดของมังกรเกาหลี การกำเนิดของอีมูกิต้องมีชีวิตเป็นเวลา 1,000 ปีสะก่อนถึงจะกลายเป็นมังกรได้ มีความความว่า อีมูกิ พวกมันเป็นงูยักษ์หรือสัตว์ประหลาดมีรูปร่างคล้ายมังกร อาหารของพวกอีมูกินั้นจะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มี่ขนาดที่เล็ก เช่น กวาง ชะมด วิธีการกิน อีมูกิจะกลืนอาหารเข้าไปทั้งตัว ในการวิธีไล่ล่าเหยื่อของพวกอีมูกิคือ พวกมันจะทำการสะกดจิตเหยื่อด้วยการส่งเสียงคลื่นต่ำพร้อมกับการเคลื่อนไหวไปมาด้วยลักษณะที่แปลกทำให้เหยื่อหลงและมึน พอเหยื่อมึนพวกมันจะนำหางตะวัดรัดเหยื่อไม่ให้หนีไม่ให้เคลื่อนไหวและกลืนกินเหยื่อลงไปในท้องพวกมัน ลักษณะนิสัยของอีมูกิความเชื่อของชาวเกาหลีดังเดิมนั้นพวกมันเป็นงูยักษ์ที่เป็นผู้รักสันโดษชอบอยู่ตามลำพัง พวกมันจะมีจิตใจที่ดี ถิ่นอาศัยมักจะอยู่ตามถ้ำหรือในน้ำลึก ซึ่งถ้าหากในยุคนั้นใครได้เจออีมูกิมักจะได้รับโชคลาภอีกด้วย มังกรเกาหลี : อีมูกิ IMUGI มังกรที่อยู่ในตำนานทางโซนยุโรปนั้น มักจะมีความเกี่ยวข้องกับไฟและมีความดุร้ายชอบการทำลายล้าง […]
ตำนาน เจียงซือ (Jiangshi) ผีดิบแห่งแดนมังกร(จีน)

สิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติมีอยู่รอบโลกและดำเนินไปเป็นแนวคู่ขนานกับการใช้ชีวิตของสังคมมนุษย์ตั้งแต่ในอดีตโบราณนานมาจนถึงในยุคปัจจุบันเลยก็ว่าได้ ตำนานความเชื่อต่างๆที่อาจจะมีให้เห็นหรือไม่มีให้เห็นถูกเล่าสืบต่อกันมารุ่นสู่รุ่น มีผีประเภทหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมนำมาทำเป็นหนังกันเยอะเจะเกี่ยวกับซอมบี้หรือไม่ก็ผีดิบ ผีดูดเลือดแวมไพร์ วันนี้เราจะมาไขตำนาน “เจียงซือ” ผีดิบแห่งแดนมังกร ความเชื่อ : เจียงซือ (Jiangshi) “เจียงซือ” เป็นศัพท์ภาษาจีนกลางที่แปลว่าผีดิบ และมีความหมายว่าศพที่แข็งทื่อ พวกมันจัดอยู่ประเภทผีดิบ เจียงซือ มักจะมีผิวหนังที่ดูขาวซีดออกไปทางอมเขียว พวกมันจะเคลื่อนที่ด้วยการเดินแบบปกติ พวกมันจะกระโดดสองขาคู่ไปพร้อมกันกับช่วงมือที่ยกขึ้นเหยียดตรงยื่นไปข้างหน้าทั้งสองข้าง ผีดิบเจียงซือจะไม่ดูดเลือดหรือกินมนุษย์แต่พวกมันจะดูดพลังงานของมนุษย์ที่พวกมันพบเจอเสียมากกว่า ประวัติความเป็นมา : ผีดิบเจียงซือ (僵尸) เจียงซือ มีหลักฐานการสืบค้นจากนักประวัติศาสตร์ทางตะวันตกได้ปรากฏไว้ว่า ในยุคแรกระหว่างปี 206-221 ก่อนคริสตกาล ประเทศจีนที่ได้ถูกปกครองโดยราชวงศ์ฉินได้มีการรวบรวมชนชาติจีนให้เป็นหนึ่งเดียวซึ่งเป็นการนำอำนาจให้ขึ้นอยู่ที่ส่วนกลาง ซึ่งมีความเชื่อกันมาว่า เจียงซือมันถือกำเนิดมาในยุคนี้ มีข้อมูลจากหนังสือYuewei Caotang Biji ถูกเขียนขึ้นโดยนักปรัชญาที่ชื่อ จี หยาน ซึ่งจะมีเนื้อหาว่า การฟื้นคืนชีพของซากศพให้กลายเป็นเจียงซือจะแบ่งเป็น 2 สาเหตุดังนี้คือ การถือกำเนิดโดยศพที่ผู้เสียชีวิตด้วยมีแรงอาฆาตสูงอาจมีห่วงอะไรบ้างอย่างที่ตนเองยังไม่สามารถจัดการให้สำเร็จ และสาเหตุที่สองคือ เจียงซือที่กำเนิดมาจากทางครอบครัวจัดการทำพิธีฝังศพแบบผิดประเพณีผิดจารีตหรือไม่ก็นำศพไปฝังสถานที่เฮี้ยนผิดฮวงจุ้ย อาจกล่าวได้ว่าการฝังศพไม่ดีทำให้มีพลังงานหยินมากเกินไป พลังงานหยิน มีธาตุเย็นเป็นพื้นฐาน หรือเป็นพลังงานด้านมืดเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับภูตผีปีศาจ ซึ่งจะตรงข้ามกับพลังงานหยางซึ่งเป็นตัวแทนความสว่างความเชื่อและศรัทธาของศาสนาเต๋า ดังข้อมูลที่ได้กล่าวมานี้เปรียบได้ว่า เจียงซือ เป็นพลังงานหยิน จะปรากฏสิ่งที่ไม่ถูกจริตอยู่ตรงข้าม พูดกันง่ายๆคือพวกมันจะอยุ่ได้แค่ยามราตรีพวกมัตนกลัวแสงสว่างของพระอาทิตย์ในช่วงกลางวันพวกมันจึงมักนอนในโลงศพ […]
ตำนานลี้ลับสยอง Boogeyman หรือ Boogie man (ปีศาจแห่งฝันร้าย)

วันนี้แอดมีตำนานลี้ลับสุดสยองของต่างประเทศที่แอดได้ไปอ่านเจอมาจากเว็บๆหนึ่งมาเล่าให้เพื่อนๆทุกคนได้อ่านกันครับกับ Boogeyman ซึ่งบอกก่อนนะครับว่าเรื่องนี้เป็นตำนานที่ถูกจดจำจากบุคคลหลากหลาย อาจจะจริงบ้างไม่จริงบ้าง ผิดเพี้ยนบ้างหรือถูกแต่งขึ้นมาแล้วเล่าต่อกันมาเท่านั้น ยังไงก็ลองอ่านกันดูนะครับ Boogeyman หรือ Boogie man (ปีศาจแห่งฝันร้าย) เป็นสิ่งที่ถูกเล่าต่อๆกันมาว่าเป็นผีหรือปีศาจ มันมีความโหดร้าย เลือดเย็นที่มาจากฝันร้ายตนนึง ซึ่งมันมีทั้งความโหดร้ายและน่ากลัว โดยความสามารถของบูกี้แมนนั้น มีตั้งแต่การเปลี่ยนรูปร่างต่างๆจนถึงการที่มันสามารถทะลุผ่านเข้าไปได้ในทุกๆที่ ไม่เว้นแม้แต่ในห้องนอนของคุณเอง พร้อมทั้งมันอาจจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นเพียงพลังงานหรือธุลี ปลิวเข้ามาทางช่องหน้าต่างหรือรูกุญแจของบ้านคุณ บางทีอาจเป็นเงารางๆแต่สามารถฆ่าคนได้ บางคนก็เชื่อว่าบูกี้แมนนั้นมาจากเรื่องจริงในสมัยก่อนที่ชาวอังกฤษเข้ามายึดครองพื้นที่แถบหมู่เกาะชะวา ประเทศมาเลเซีย โดยมีโจรสลัดที่โหดร้ายชื่อว่า บูกีส (Bugis) ที่ทำการปล้นและฆ่านักเดินทางที่อยู่แถบนั้นอย่างเหี้ยมโหด จนสร้างความหวาดผวาเป็นอันมากจนมีคำขู่ลูกเรือเกิดขึ้น ลูกเรือที่นอกลู่นอกทางก็จะโดนขู่ว่า “เดี๋ยวบูกิสจะมาเอาชีวิต” จากนั้นความหวาดกลัวที่มีต่อบูกิสติดตามมายังอังกฤษก็กลายเป็นปีศาจบูกี้แมนที่สร้างความกลัวแม้กระทั่งเป็นฝันร้ายให้กับเด็กๆ บูกี้แมนยังถูกใช้เป็นชื่อที่ผู้ใหญ่หรือพ่อแม่เอาไว้เล่าขู่เด็กๆ ให้เกิดความกลัวเวลาเล่นซนไม่เชื่อฟัง เอาแต่เล่นไม่ยอมเข้านอน ไม่ยอมรับประทานอาหารฯลฯ โดยพ่อแม่จะหลอกลูกๆ ว่าบูกี้แมนกำลังคอยซ่อนตัวอยู่ตามใต้เตียงบ้าง แอบอยู่ในตู้เสื้อผ้า หรือตามมุมมืดของห้องบ้าง เพื่อเฝ้ามองและหาโอกาสจัดการกับเด็กเวลาเผลอ สิ่งที่บูกี้แมนจะทำก็คือ ทำให้เด็กฝันร้าย บูกี้แมนจึงเป็นตัวผู้ร้ายสำหรับเด็กๆ ……………. จากหนังเรื่องหนึ่งที่มีชื่อว่า Sinister (เห็นแล้วต้องตาย) บูกี้แมนเดินเข้าออกภาพยนตร์และรูปภาพ เป็นเงาก่อนปรากฏเป็นปีศาจ สั่งสอนให้เด็ก ๆ ฆ่าครอบครัวของตนเอง เพื่อทำเป็นภาพยนตร์ให้ตนดูเล่น ส่วนมากในภาพยนตร์ฝรั่งบูกี้แมนปรากฏมากมายในการ์ตูน และหนังผีต่าง […]
ตำนานสยองขวัญต่างประเทศ : ลาวัง เซวู (Lawang Sewu)

สงคราม ความทุกข์ทรมาน และการนองเลือดได้เติมเต็มประวัติศาสตร์ของโลก และนี่คือหนึ่งในเหตุผลที่อาคารเก่าแก่หลายแห่งของโลกมีประวัติศาสตร์ที่น่าสลดใจที่ยังคงเป็นเหมือนเครื่องหมายไว้จนถึงทุกวันนี้ ลาวัง เซวู (Lawang Sewu) ในเมืองเซมารัง เมืองหลวงของชวากลาง ได้พบเจอเหตุการณ์ที่ทำลายล้างมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาวอินโดนีเซีย ชื่อนี้มีความหมายว่า “พันประตู” “House Of Thousand Doors” สำหรับวันนี้แอดก็ได้นำเรื่องนี้มายกให้ทุกคนได้อ่านกัน ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ขอให้อ่านกันให้สนุกนะครับ ลาวัง เซวู เป็นภาษาชวา แปลว่า พันประตู อาจมีไม่ถึง 1,000 บาน แต่มีประตูหลายบาน โค้ง และหน้าต่างบานใหญ่ประมาณ 600 บาน อาคารที่ดูเหมือนเขาวงกตนั้นดูลึกลับสำหรับหลายคน ตึก A อาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโบสถ์ที่มีหน้าต่างกระจกสี อย่างไรก็ตาม หน้าต่างเหล่านี้ไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวในพระคัมภีร์ แต่บอกเล่าเรื่องราวความสำเร็จของทางรถไฟและความเฉลียวฉลาดของชาวดัตช์ ชาวดัตช์อาศัยอยู่ในอินโดนีเซียมาหลายศตวรรษแล้ว ดังนั้นเมื่อมีการสร้างทางรถไฟในอินโดนีเซีย พวกเขาจึงเลือกเซมารังเป็นสำนักงานใหญ่สำหรับสำนักงานบริหารของตน อาณานิคมดัตช์ประสบปัญหาอย่างมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อญี่ปุ่นบุกอินโดนีเซีย พวกเขาเข้ายึดลาวังเซวูและเปลี่ยนห้องใต้ดินในอาคาร B ให้เป็นเรือนจำ อาณานิคมดัตช์จำนวนมากถูกคุมขัง ทรมาน และกระทั่งถูกประหารชีวิตที่นี่ ผู้คนอ้างว่านักโทษที่ถูกตัดหัวชาวญี่ปุ่นและโยนหัวที่ถูกตัดขาดไปที่มุมห้องใต้ดิน ในปีพ.ศ. 2488 เมื่อกองทัพญี่ปุ่นถูกบังคับให้ออกนอกประเทศ […]
ตำนานสยองขวัญต่างประเทศ: อาคาร Dakota ที่ถูกสาปในนิวยอร์ค

สวัสดีครับทุกคนที่ชื่นชอบเรื่องสยองขวัญน่ากลัวกัน วันนี้แอดได้นำเรื่องราวของอาคารแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า อาคารดาโกต้า (Dakota) ที่ถูกสาปในนิวยอร์ค มันเป็นอาคารที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ทั้งเกี่ยวกับโศกนาฏกรรม และเรื่องน่าขยะแขยงเกิดขึ้นมา อาคารหรืออพาร์ตเมนต์ Dakota เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางสถาปัตยกรรมที่สุดในนิวยอร์กซิตี้ นอกจากนี้ยังเป็นที่น่าสนใจสำหรับเรื่องราวที่เป็นด้านมืดของตึกแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นฉากหลังของการฆาตกรรมของจอห์นเลนนอน (Lennon) เรื่องราวของอาคารดาโกต้า (Dakota) บางเรื่องระบุว่าเป็นสถานที่สำคัญในนครนิวยอร์ก โดยตึกแห่งนี้มีผีสิงและถูกสาปแช่ง ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ก็ตาม มีสิ่งที่น่าสนใจมากมายที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับอาคารหลังนี้ ถ้าอยากรู้ว่าเป็นยังไงหล่ะก็ ขอให้ติดตามกันต่อไปนะครับ… หากมีการพูดถึงคำสาปของอาคารดาโกต้า คำสาปนั้นอาจเด่นชัดที่สุดกับการตายของเลนนอน (Lennon) แน่นอน อาคารขนาดใหญ่และสง่างามนี้ที่ถูกสร้างขึ้นในทศวรรษ 1880 นับตั้งแต่การสร้างอาคารแห่งนี้มา น่าจะมีเรื่องที่เกิดเหตุอย่างน้อยสองสามเหตุการณ์ที่ได้ให้คนรอบข้างต่างรู้จักเกี่ยวกับอาคารแห่งนี้กันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ประวัติศาสตร์มีความน่าสนใจมากกว่าที่อื่น ส่วนใหญ่คือเหตุการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นใกล้ชิดกับบุคคลที่มีชื่อเสียงมากมาย นอกจาก Lennon แล้ว ยังมีบุคคลที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น Lauren Bacall, Boris Karloff และ Joe Namath อาศัยอยู่ที่นั่น ดาโกต้ายังเป็นสถานที่ถ่ายทำที่โดดเด่นสำหรับภาพยนตร์ที่ต้องสาปแช่งที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์อีกด้วย ผีของอาคารดาโกตามีส่วนรับผิดชอบต่อคำสาปหรือไม่ และเหตุใดผู้อยู่อาศัยจำนวนมากจึงเสียชีวิตในช่วงวัยหนุ่มสาวก็ยังคงไม่มีใครทราบอยู่ดี Rosemary’s Baby ใช้ภายนอกอาคาร Dakota เพื่อแสดงภาพ The […]
เรื่องเล่าสยองขวัญ : เล่นผีถ้วยแก้วที่อังกฤษ

มีใครเชื่อเรื่องการละเล่นผีถ้วยแก้วของคนในสมัยก่อนกันบ้างครับ แอดเชื่อว่าใครหลายๆคนก็ต่างรู้จักกันดีเกี่ยวกับเรื่องราวของผีถ้วยแก้ว วันนี้แอดจึงได้นำเสนอเรื่องสยองขวัญ เรื่อง เล่นผีถ้วยแก้วที่อังกฤษ ถ้าอยากรู้ว่าเป็นยังไงกันหล่ะก็ขอให้อ่านกันให้สนุกนะครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องย้อนกลับไปในช่วงปี 1997 ผู้ที่เล่าเหตุการณ์นี้นั้นเขาได้มีโอกาสได้ไปเรียนหนังสืออยู่ที่ประเทศอังกฤษ โดยตัวเขาได้เรียนอยู่ที่เมืองเล็กๆของประเทศอังกฤษ โดยตัวเขานั้นได้รู้จักกับคุณลุงคุณป้าท่านหนึ่งที่เป็นคนไทยที่พวกเขาทั้งสองนั้นได้เปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่ประเทศอังกฤษกัน ด้วยความที่ตัวเขานั้นพอได้รู้จักและรู้สึกดีที่ได้มีคนไทยที่รู้จักเพิ่มขึ้น ตัวเขาก็มักจะไปช่วยเหลือลุงป้าคู่นี้กับเพื่อนๆของเขาเป็นประจำ โดยคืนหนึ่งที่เขาและเพื่อนของเขาได้เข้าไปช่วยลุงป้าเก็บร้านอาหารร้านนี้จนเวลาดึกมากๆเข้า จนสุดท้ายทั้งตัวลุงป้าได้ชวนเขาและเพื่อนๆนอนพักอยู่ที่บ้านหลังนี้ในคืนนี้ เพราะเวลานั้นที่เก็บร้านกันจนเสร็จก็เป็นเวลาตี 1 เข้าให้แล้ว โดยตอนนั้นได้มีเขาและเพื่อนอยู่ทั้งหมด 4 คนและพวกเขาก็นึกสนุกขึ้นมาได้จนได้ชวนกันเล่นผีถ้วยแก้วกัน แต่จะมีเพื่อนคนหนึ่งที่ไม่เล่นเพราะไม่ค่อยชอบเรื่องอะไรแบบนั้น จนพวกเขาได้เริ่มเล่นกันจนไม่ได้สนใจเพื่อนคนนั้น ก่อนที่จะเริ่มเล่นได้มีเพื่อนคนหนึ่งได้หยิบหนังสือพิมพ์ไทยมาฉบับหนึ่งและได้พูดขึ้นมาว่า “เลือกเลยจะเอาเหตุการณ์ข่าวไหน เชิญวิญญาณตายโหงมาสักคน เรียกเขามาให้มาอยู่ในแก้วนี้” ด้วยความสนุกและไม่คิดจริงจังอะไรจึงได้เลือกกันมาคดีหนึ่ง จนได้เลือกคดีที่เป็นข่าวของผู้หญิงที่ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม จนพวกเขาก็ได้เริ่มเรียกวิญญาณผู้หญิงตนนี้กัน “ขอเชิญวิญญาณของผู้หญิงภายในข่าวนี้ ที่มีชื่อว่า… ตายด้วยสาเหตุ… มาในแก้วใบนี้” พวกเขาก็นั่งอยู่กันอย่างนั้นมาได้ 20 นาทีจนได้มีเพื่อนคนนึงพูดขึ้นมาว่าเลิกกันเถอะ ทั้งหมดก็พากันยกมือขึ้นจากแก้วที่อันเชิญนั้นออกมาเฉยๆโดยไม่ได้พูดอะไร หลังจากนั้นทั้งหมดก็ได้เดินออกไปนอกร้านและจุดธูปพร้อมพูดออกมาว่า “กลับไปที่ที่คุณมานะ” พอปักธูปเท่านั้น ธูปก็หมดอย่างรวดเร็วแบบเพียงไม่กี่วินาทีธูปก็หมดทันที เขาและเพื่อนๆตกใจอย่างมาก เพราะปกติแล้วกว่าธูปจะหมดสักแท่งมันต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง แต่นี่เป็นไปไม่ได้ หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้พากันนอนดีกว่าเพราะบรรยากาศเริ่มไม่ดีแล้ว ตอนนั้นเป็นเวลาตีสามกว่าแล้ว เวลาผ่านไปได้ประมาณครึ่งชม เขาก็ได้รู้สึกเหมือนมีคนเดินและตัวเขาก็คิดว่าเป็นเพื่อน แต่ความแปลกที่ตัวเขาสามารถรู้สึกได้เลยนั่นก็คือมันไม่ใช่การเดินปกติ แต่มันคือการเดินเหยียบบนร่างของเขาและเพื่อนๆอยู่ เหยียบอยู่แบบนั้นอยู่บนบริเวณขา ระหว่างนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเพื่อนของเขาพูดขึ้นมา “มึงอย่าเปิด มึงอย่าเปิด” […]
ตำนานสยองขวัญต่างประเทศ : โรงแรมควีนแอนน์ (The Queen Anne Hotel)

การพักค้างคืนคนเดียวในห้องหนึ่งที่อยู่ในโรงแรมปกติแล้วนั้นก็อาจจะเป็นเรื่องธรรมของหลายๆคน แต่ถ้าคุณได้ลองนอนคนเดียวในโรงแรมควีนแอนน์ (The Queen Anne Hotel) จะทำให้คุณรู้สึกกลัวและมีความกังวลใจถ้าจะต้องนอนคนเดียวอย่างแน่นอน ถ้าหากหลังจากได้ยินเรื่องผีหลายเรื่องเกี่ยวกับโรงแรมแห่งนี้ อาคารนี้เคยเป็นโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาสำหรับเด็กผู้หญิง และว่ากันว่าครูใหญ่ของโรงเรียนคือ Miss Mary Lake ตัวเธอได้เสียชีวิตลงใน ณ ที่แห่งนี้และแน่นอนว่าวิญญาณของเธอก็ยังคงอยู่ในโรงแรมและปรากฏตัวในห้อง 410 มันคือห้องชุด ของ Mary Lake เธอจะค่อยๆ เผยตัวออกมาให้นักเดินทางที่กำลังหลับอยู่ภายในห้องพัก โดยแขกส่วนใหญ๋จะหลับอยู่และได้เจอกับวิญญาณของเธอเข้า แขกที่มาพักในห้องมักรายงานว่าพวกเขามักจะรู้สึกได้ถึงอากาศที่หนาวเกินกว่าปกติจนทำให้รู้สึกขนลุก นอกจากนี้ยังได้รับรายงานจากคนถือกระเป๋าที่อยู่ในโรงแรมว่า เคยได้เห็นเธอปรากฏอยู่ด้านนอกของห้องพักประจำของเธอ หรือก็คือวิญญาณของเธอได้ออกมาข้างนอกห้องด้วยเช่นกัน โดยเธอยังถูกพบเห็นเดินไปตามทางเดินในโรงแรม บางทีก็โผล่ออกมาผ่านกระจกให้ได้เห็นกัน และบางครั้งก็เล่นเปียโนในห้องล็อบบี้ของโรงแรมอีกด้วย นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆของโรงแรมสยองขวัญนี้ ถ้าอยากรู้มากกว่านี้หล่ะก็ ขอให้ตั้งใจและสนุกกับการอ่านกันนะครับ บรื้อ… โรงแรมบูติกแห่งนี้ตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกสบายใกล้กับ Union Square และได้รับการปรับปรุงใหม่มามากมาย ในช่วงปี 1890 โรงแรมแห่งนี้เริ่มเป็นโรงเรียนประจำสำหรับเด็กผู้หญิง โดยมี แมรี่ ลัค เป็นเจ้าของโรงเรียนแห่งนี้ เธอเป็นทั้งผอของโรงเรียนนี้และยังเป็นอาจารย์ที่สอนเด็กผู้หญิงเกี่ยวกับถึงศิลปะของการเป็นผู้หญิงที่ถูกต้อง เธอเป็นที่นิยมในการชื่นชอบและรู้จักกันอย่างมากในหมู่นักศึกษาและเจ้าหน้าที่ที่ทำงานและอาศัยอยู่ที่นั่น ทุกคนต่างรู้สึกดีที่มีเธอเป็นผู้ดูแลพื้นที่แห่งนี้ แต่ต่อจากนั้นทุกคนก็ต้องรู้สึกโศกเศร้าเมื่อเธอเสียชีวิตเพียงไม่กี่ปีหลังจากโรงเรียนเปิด ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ควีนแอนน์มีเจ้าของใหม่ขึ้นมา เจ้าของบอร์เดลโล่ และถูกดูแลโดยผู้ดูแลโบสถ์หลายคน พื้นที่นี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นสำนักงานใหญ่ของสมาคมลับที่เกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์ […]
ตำนานสยองขวัญ : บ้าน Lizzie Borden

เคยได้มีเรื่องราวสยองขวัญขึ้นมา มันเป็นฉากฆาตกรรมที่เกิดขึ้นมาถึงสองครั้ง มันเป็นเหตุการณ์นองเลือดที่ไม่สามารถไม่ได้อธิบายได้ว่าเป็น “เรื่องราวปกติที่อาจจะเกิดขึ้นมาหรืออาถรรพ์ที่เหมือนคำสาปที่ติดมากับที่แห่งนี้” ซึ่งพื้นที่ที่ได้ว่านั่นก็คือบ้าน Lizzie Borden สำหรับคุณหรือใครหลายๆคนอาจจะคิดว่าบ้านแห่งนี้ก็คงเป็นบ้านปกติเหมือนบ้านทั่วๆไปหากได้เห็นจากภายนอก เพราะว่าภายนอกนั้นไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างจากสถานที่อื่นเลย แต่ใครจะไปรู้ว่าบ้านที่ถูกดูไม่มีอะไรนี้ กลับเป็นสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของ Fall River ที่เพิ่งได้รับการเสนอชื่อให้เป็นอันดับ 2 ในรายชื่อ 10 โรงแรมผีสิงที่ดีที่สุดทั่วโลก ถ้าเกิดอยากรู้เกี่ยวกับประวัติและความน่ากลัวของสถานที่แห่งนี้ที่ถูกนับให้เป็น1ใน10ของบ้านผีสิงที่ดีที่สุดแล้วนั้น ขอให้อ่านกันให้สนุกนะครับ… บ้าน Lizzie Borden ใน Fall River รัฐแมสซาชูเซตส์ เป็นที่ตั้งของอาชญากรรมที่น่าอับอายที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ แม้ว่าบางคนอาจจะไม่รู้จักเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของพื้นที่มากนัก แต่เชื่อว่าบางคนก็คงเคยได้ยินเพลงเกี่ยวกับขวานและการตีสี่สิบครั้ง (ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะรู้จักกันในต่างประเทศมากกว่าในประเทศไทยเป็นแน่นอน) โดยเรื่องราวนั้นจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ การถูกฆาตกรรมของตระกูลบอร์เดนนั่นคือ แอนดรูว์และแอ๊บบี้ บอร์เดนถูกสังหารด้วยขวานในปี 1892 และนอกจากนั้นในที่เกิดเหตุพวกเขาได้เห็นลิซซี่ที่เป็นลูกสาวของแอนดรูว์ (ลูกเลี้ยงของแอ๊บบี้) อยู่ในสถานที่เกิดเหตุ เธอจึงได้รับการพิจารณาคดีและถูกพ้นผิดไปด้วยโดยไม่ได้รับการลงโทษใดๆ การพิจารณาคดีกลายเป็นหนึ่งในข่าวที่แพร่หลายที่สุดในยุคนั้น และถึงแม้ลิซซี่จะเป็นอิสระ แต่เธอก็ไม่เคยได้รับการอภัยจากสาธารณชนอย่างแท้จริง เนื่องจากพวกเขาสงสัยว่าเธอคือฆาตกรตัวจริง ลิซซี่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นมานานกว่าสามสิบปี จนกระทั่งเธอเสียชีวิตในปี 1927 ได้มีคนที่ทำเกี่ยวกับรายการทีวี เข้าไปอยู่ในระแวงนั้นที่เป็นพื้นที่ใกล้เคียงกับบ้านหลังนี้ เขาได้เข้าไปสำรวจบ้านหลังนั้นบ่อยๆ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เขาเคยไปที่นั่นเพื่อตรวจสอบหลายสิบครั้ง ทั้งกับกลุ่มเล็กๆ และเพื่อถ่ายทำรายการทีวี ในซีซั่นที่ […]
ตำนานสยองขวัญต่างประเทศ : วิลล่า เดอ เวคคี (Villa de Vecchi)

ในประเทศอิตาลี ได้มีบ้านหลังหนึ่งที่มีลักษณะสีแดง ที่ประชาชนที่เป็นคนอิตาลีต่างเรียกว่าวิลล่าที่มีผีสิงมากที่สุด ตั้งอยู่ในตอนเหนือของอิตาลีและทางตะวันออกของทะเลสาบโคโมในภูเขา Corte nova โดยบ้านหลังสีแดงนี้มีการอ้างกันว่าซ่อนโศกนาฏกรรมเอาไว้มากมาย บ้านหลังนี้รู้จักกันในชื่อ วิลล่า เดอ เวคคี (Villa de Vecchi) นอกจากนี้ยังเรียกกันว่า The Witches House และ Ghost House ซึ่งปัจจุบันบ้านหลังนี้ก็ได้กลายเป็นบ้านร้างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถึงแม้ปัจจุบันจะกลายเป็นร้างขนาดไหน แต่ความน่าสยดสยองเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของบ้านหลังนี้ก็ยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าอยากรู้เรื่องนี้มากขึ้นแล้วหล่ะก็ ขอให้ตั้งใจอ่านและเอ็นจอยกับการอ่านกันนะครับ… Villa De Vecchi ออกแบบและสร้างขึ้นระหว่างปี 1854 และ 1857 โดยสถาปนิก Alessandro Sidoli สร้างขึ้นเพื่อเป็นบ้านพักฤดูร้อนของ Count Felix de Vecchi De Vecchi ซึ่งเป็นชายผู้รักในการอ่านหนังสือและเดินทางท่องเที่ยวรอบโลก ได้เลือกการผสมผสานระหว่างสไตล์บาโรกและคลาสสิกตะวันออกสำหรับบ้านหลังใหม่หลังนี้ สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นและออกแบบมาด้วยความสะดวกสบายที่ทันสมัยตามยุคสมัยช่วงเวลานั้น ซึ่งรวมถึงท่อให้ความร้อนในร่ม เครื่องดัมบ์เวตเตอร์ และน้ำพุแรงดันขนาดใหญ่ น่าเสียดายที่เขานั้น ไม่เคยได้เห็นบ้านสร้างเสร็จ เนื่องจากเขาเสียชีวิตระหว่างการก่อสร้างจนก่อสร้างเสร็จ ตามตำนานเล่าว่าในปี 1862 ท่านเคานต์กลับมาบ้านและพบว่าภรรยาของเขาถูกฆาตกรรมอย่างทารุณและลูกสาวของเขาหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา […]
ตำนานสยองขวัญต่างประเทศ : The Los Feliz Murder Mansion

สำหรับวันนี้แอดได้นำเรื่องราวของสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดแห่งหนึ่งในลอสแองเจลิส บ้านหลังนี้ไม่ได้เป็นบ้านผีสิงที่เหมือนกับบ้านผีสิงอื่นๆที่หลายๆคนได้เคยเห็น อาจจะในชานเมืองบ้าง หรือที่อื่นบ้าง แต่มีความแตกต่างออกไป บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่แปลกตาของ EAST-ISH LA ที่เรียกว่า LOS FELIZ โดยปกติแล้วบ้านหลังนี้ไม่ได้รับการเปิดเผยมาหลายปีแล้วนับตั้งแต่เคยมีเหตุการณ์เกี่ยวกับการฆาตกรรมในปี 1932 บ้าน LOS FELIZ MURDER ตั้งอยู่ที่ 2475 GLENDOWER PLACE ได้รับการกล่าวถึงในเมือง GHOST PODCAST หลังจากที่มีการพูดใน PODCAST ก็ทำให้เรื่องราวของบ้านผีสิงที่นี่มีการพูดถึงมากขึ้นไปอีก ซึ่งเรื่องราวนั้นก็มีความแตกต่างกันไปในหลายๆสื่อ แอดจึงได้รวบรวมมาให้ทุกคนได้อ่านกัน ขอให้อ่านกันให้สนุกนะครับ ในคืนวันที่ 6 ธันวาคม 1959 ในคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาลอส เฟลิซในลอสแองเจลิส ดร. ฮาโรลด์ เปเรลสันผู้ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่คฤหาสน์แห่งนี้ เขาได้ใช้ค้อนทุบภรรยาของเขาจนตาย ทุบตีลูกสาววัย 18 ปีของเขาอย่างรุนแรง จนทำให้ลูกสาวของเธอได้เสียชีวิตตามแม่ของเธอไป และสุดท้ายแล้วเขาก็ได้จบชีวิตของตัวเองโดยใช้น้ำ กรด และยากล่อมประสาทผสมกัน แล้วกินเข้าไปและตายไปอย่างทรมาน พอเวลาผ่านไป ก็ไม่มีใครที่กล้าจะมาอยู่ภายในคฤหาสน์แห่งนี้อีกเลย จนเวลาผ่านไปถึงประมาณอีก 50 ปีข้างหน้าที่มาเป็นเวลาปัจจุบัน คฤหาสน์สังหาร Los […]