ตำนาน “ผีโป๊กกะโหล้ง” ภูตผีพิทักษ์พงไพร ภาคเหนือ ประเทศไทย

ตำนาน ผีโป๊กกะโหล้ง

“ผีโป๊กกะโหล้ง” หรือ “ผีปักกะโหล้ง” นี่คือชื่อของผีล้านนาโบราณมีได้มีการเล่าขานกันจนเป็นตำนาน พวกมันเป็นหนึ่งในตระกูลผีป่าทำหน้าที่คอยปกป้องพื้นป่า หน้าตาพวกมันลักษณะที่ดูมีความประหลาดเป็นอย่างมาก ผีโป๊กกะโหล้งพวกมันมักจะคนที่ทำความดีตอบแทนพวกเขาด้วยการให้โชคลาภเงินทอง แต่ถ้าได้พบเห็นคนชั่วพวกมันก็ไม่ปล่อยไว้เช่นกัน ความเชื่อ “ผีโป๊กกะโหล้ง” ความเชื่อของกำเนิดของ “ผีโป๊กกะโหล้ง” มีหลากหลายความเชื่อเป็นอย่างมากแล้วแต่ละถิ่นฐานพื้นที่นั้นๆว่ามีความเชื่อเช่นไร ยกตัวอย่างมีเรื่องเล่าขานกันมาว่า “ผีโป๊กกะโหล้ง” เป็นเด็กที่ถูกปล่อยไปอยู่ภายในป่า ในสมัยก่อนผู้คนไม่มีการคุมกำเนิดจึงได้มีลูกมาก แต่ถ้าพ่อแม่คนไหนที่เลี้ยงลูกไม่ไหวก็จะมาปล่อยตัวเด็กไปอยู่ภายในป่า เด็กที่ถูกปล่อยก็ต้องอยู่อาศัยในป่าไปตามยถากรรม  เด็กพวกนี้ถ้ามีชีวิตรอดก็ต้องปรับให้มีตัวที่เข้ากับสภาพของป่าจะอยู่เหมือนลิงชนิดหนึ่ง มีขนเป็นสีดำ บ้างว่ามีตาข้างเดียว บ้างว่าพวกมันจะเดินกะเผลกสามารถเคลื่อนที่ด้วยการโหน เด็กพวกนี้จะมีอำนาจลึกลับ ลักษณะในการเดินของพวกมันเดินขาไม่เท่ากันและจะร้องเสียงออกมาว่า “โป๊กกะโหล้ง” มีอีกความเชื่ออีกกระแสหนึ่งว่า “ผีโป๊กกะโหล้ง” ดั้งเดิมเขาเคยเป็นคนที่อาศัยอยู่ภายในพื้นป่า  ชายผู้นี้อยู่กับธรรมชาติและไม่ตัดผมปล่อยให้ยาวรุงรังทั้งผมทั้งหนวด เขาจะออกหากินไปตามธรรมชาติโดยมีภาชนะคู่ใจเป็นกะลาแห้งมีอีกชื่อหนึ่งคือ “โป๊กกะโหล้ง” เพื่อเอาไว้ใส่อาหาร พอเชาได้เสียชีวิตลงไป ก็จะกลายมาเป็นภูตผีคอยพิทักษ์ดูแลรักษาป่าไม้พงไพรตามเวรกรรมที่เขาเคยทำมา ลักษณะภายนอก “ผีโป๊กกะโหล้ง” มีผู้คนเคยเห็นว่า”ผีโป๊กกะโหล้ง” จะปรากฏให้เห็นเป็นชายแก่ที่มีลักษณะผมยาวหนวดยาวรุงรัง หน้าตาของพวกมันจะดูประหลาดซึ่งมีความต่างกันรูปแบบเฉพาะตัว บางก็มีตาเดียว บางก็มีขาเดียว ไม่เหมือนกันแต่ละตัว “ผีโป๊กกะโหล้ง” สามารถจำแลงแปลงกายได้ด้วย พวกมันมักจะมีเครื่องดนตรีคือ พิณเปี๊ยะ ของทางภาคเหนือไว้ข้างกายตลอดเวลา  บางความเชื่อก็ว่าพวกมันจะพกเป็นน้ำเต้า หรือไม่ก็ไม้เท้าแต่ละถิ่นฐานมีความเชื่อที่ต่างกัน ผีโป๊กกะโหล้งมักจะเคลื่อนที่ด้วยการโหนไปตามกิ่งไม้เหมือนพวกมันเป็นลิงประเภทหนึ่ง และพวกมันมักจะมีพลังลึกลับเป็นอำนาจวิเศษ พวกมันชอบให้โชคลาภทรัพย์สินเงินทองแก่คนดี และในขณะเดียวกันก็ให้โทษจะทำร้ายคนชั่วได้ด้วยเช่นกัน  “ผีโป๊กกะโหล้ง” […]

ตำนาน “ผีกองกอย” ผีป่าขาเดียว ดูดเลือดแห่งป่าพงไพร

ตำนาน ผีกองกอย

ถ้าใครที่ต้องไปหาของหรือจะไปท่องเที่ยวที่ป่า ถ้าท่านได้ยินเสียง “กองกอย กองกอย”  ให้เตรียมใจไว้ได้เลยว่านั้นคือเสียงของ “ผีกองกอย” มีตำนานของพวกมันในพื้นที่ภาคอีสานไปจนถึงพื้นที่แถบฝั่งประเทศลาว แต่ละพื้นที่ก็มีคำเล่าขานถึงประวัติของพวกมันแตกต่างกันออกไป และเราได้รวบรวมข้อมูลของตำนานผีกองกอยมาฝากกันไปดูกันว่าพวกมันเป็นผีอะไร “ผีกองกอย” คือ ? “ผีกองกอย” เป็นผีป่าประเภทหนึ่ง มักจะพบเจอพวกมันอยู่ทางภาคอีสาน และเคยได้ยินว่าทางเพื่อนบ้านของเราคือประเทศลาวนั้นก็ยังมีคนพบเห็นพวกมันอีกด้วย พวกมันจะอยุ่ในป่า มีลักษณะตัวเล็กสักหน่อย พวกมันมีขาเพียงข้างเดียวเท่านั้นเวลามันจะออกเดินไปไหนมาไหนจะอาศัยการกระโดด และพวกมันจะออกเสียงในเวลาโดดคือ “กองกอย กองกอย” ลักษณะเด่น และถิ่นฐานของ “ผีกองกอย” “ผีกองกอย” เป็นผีที่มีทั้งเพศชายและเพศหญิง พวกมันจะอาศัยอยู่สถานที่เย็นเช่น ถ้ำ ที่อยู่ภายในป่า ผู้เฒ่าผู้แก่ได้เคยเล่าให้ฟังรุ่นต่อรุ่นว่า วันหนึ่งมีชาวบ้านได้ไปในป่าเพื่อหาสมุนไพร เดินไปจนเจอถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ภายในป่า เขาตัดสินใจเข้าไปสำรวจถ้ำนั้นและได้พบเห็นพวกมันอยุ่ในร่างของผู้หญิงซึ่งมีตัวค่อนข้างเล็กเส้นผมของพวกมันเป็นสีแดง  ลักษณะเท้าของมันจะกลับไปอยู่ด้านหลังผิดรูปไม่เหมือนเท้ามนุษย์คนธรรมดาทั่วไป ชาวบ้านผุ้นั้นที่ได้พบเห็นแน่ใจเลยว่าสิ่งทีเขาเห็นนั้นไม่ใช่คน สิ่งที่เห็นต้องเป็นผีกองกอยอย่างแน่นอน เขาตื่นตะหนกและกลัวเป็นอย่างมาก เขาร้องขอชีวิตไม่ให้ผีกองกอยกินเขา ผีกองกอยฟังแล้วคิดบอกให้เขาทำการสัญญาว่า เขาต้องมาเป็นสามีหล่อนก่อน ถ้าทำตามที่หล่อนบอก เขาจะได้ ทรัพย์สมบัติต่างๆของหล่อนที่อยุ่ภายในถ้ำนี้ ทุกอย่างจะตกเป็นของเขาทั้งหมด เขาจึงถามว่าถ้ารับปากแล้วต้องทำอะไรบ้าง ผีกองกอยบอกว่าไม่ต้องทำอะไรมากแค่เพียงเป็นสามีอยู่เฝ้าถ้ำนี้ไว้ในเวลาที่หล่อนออกไปหากินก็เพียงเท่านั้น ชาวบ้านคนนั้นยอมตกลงเพราะกลัวตายด้วย ต้องเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์นี้ไปก่อนค่อยหาวิธีหนีอีกที เขาอยู่กับผีกองกอยไปหลายวัน และได้สังเกตนิสัยของผีกองกอย จึงได้พบว่าพวกมันจะทำอะไรที่ตรงข้ามกับคำพูดเสมอ เช่นถ้ามันบอกว่าจะออกไปหากิน มันจะไม่ไป ถ้าบอกว่าจะไปนาน […]

ตำนาน “เจ้าพ่อเจตคุปต์” ผู้บันทึก กรรมดี-ชั่ว นายทะเบียนของพญายม

ตำนาน เจ้าพ่อเจตคุปต์

ในยามที่มนุษย์ทุกคนทำความดีหรือความชั่วอย่าคิดว่าไม่มีใครเห็น ในโลกหลังความตายหรือยมโลก มีผู้บันทึกความดีและความชั่วของพวกเราอยู่ ท่านมีนามว่า “เจตคุปต์” ท่านเป็นผู้รักษาทะเบียนซึ่งจะบันทึกข้อมูลต่างๆของมนุษย์ เจตคุปต์เป็นหนึ่งในบริวารของพญายมที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ท่านผู้ที่คอยเฝ้ามองการกระทำของทุกสรรพสิ่งที่มีชีวิตบนโลกมนุษย์ ตำนานความเชื่อ : เจตคุปต์ ประวัติตามความเชื่อของศาสนาฮินดูที่ได้ก่อเกิดขึ้นมานั้น การกำเนิดขึ้นของโลกใยนี้โดยพระพรหมเป็นผู้สร้างเหล่าบรรดามนุษย์ผู้ใช้ชีวิตอยู่บนโลก ทางศาสนาฮินดูได้ทำการแบ่งมนุษย์ออกมาเป็น 4 ระดับ คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ และศุทธ และพระพรหมท่านได้ทรงแต่งตั้ง มีบัญชาให้พญายมราชไปปกครองยมโลก ทำหน้าที่คอยมาพิทักษ์รักษาทะเบียนซึ่งจะเอาไว้จดบันทึการกระทำดีชั่วของสิ่งมีชีวิตตั้งแต่เบื้องต่ำถึงเบื้องสูง   นับได้ว่าตั้งแต่ภพมนุษย์และภพสวรรค์ พญายมท่านได้รับหน้าที่นี้แต่ก็มีการตัดพ้อถึงการรักษาเล่มทะเบียนกรรมนี้ซึ่งเป็นงานที่ใหญ่เป็นอย่างมาก ซึ่งการจดบันทึกจะมีทุกสรรพสิ่งที่มีชีวิตเป็นจำนวนมากอย่างมหาศาล ท่านพญายมท่านได้มีคำถามกล่าวไปถึงพระพรหมเอาไว้ว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เหตุอันใดข้าจะรักษาทะเบียนกรรมของเหล่าสิ่งทีมีชีวิตเกิดในกลักขโยนีทั้งแปดสิบสี่ ตลอดจนถึงไปตรีโลกได้อย่างไรเล่า” เป็นการตัดพ้อของท่านพญายม ด้วยคำถามนี้ทำให้ท่านพระพรหมต้องใคร่ครวญต่อคำถามพญายมท่านจึงได้ทำการตั้งสมาธินับเป็นเวลาถึง หนึ่งหมื่นหนึ่งพันปี ท่านได้ลืมพระเนตรขึ้นมา เกิดปรากฏ ภาพบุรุษต่อหน้าท่านพระพรหม ซึ่งบุรุษผู้นี้ได้ถือปากกากับขวดหมึกเอาไว้ และที่สะเอวยังสะพายดาบเอาที่เบื้องหน้า เมื่อท่านพระพรหมเห็นเช่นนั้นจึ่งได้มีคำตรัสต่อบุรุษผู้นี้เอาไว้ว่า “เจ้าผู้ซึ่งเกิดขึ้นได้แต่กายของข้า ฉะนั้นผู้ได้เป็นลูกหบานของเจ้าจงได้ชื่อว่า “กายาสทาส” ส่วนตัวเจ้านั้นผู้ซึ่งเกิดขึ้นได้ในห้วงคำนึงแห่งกายของข้า ในความลับอันดำมืด เจ้าจงมีนามว่า “จิตรคุปต์” เถิด  ท่านพระพรหมได้มอบหมายหน้าที่ให้ “จิตรคุปต์” หรือ “เจตคุปต์” ไปเป็นบริวารอยู่ใต้การปกครองของท่านพญายม ทำหน้าที่คอยเป็นที่ปรึกษาและเป็นผู้รักษาบัญชีบุญบาปจดบันทึกกรรมของเหล่าสิ่งมีชีวิตบนโลก […]

ตำนาน “กินนร กินรี” มนุษย์กึ่งนกแห่งเขาไกรลาส ณ ป่าหิมพานต์

ตำนาน กินนร กินรี

สัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์นั้นมีหลากหลายชนิด กินนร และกินรีก็เป็นสัตว์เทพที่อยู่ในป่าหิมพานต์ ณ เขาไกรลาส ตามบันทึกของพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงกินนรและกินรีเอาไว้ว่า ลักษณะภายนอกกินนร กินนรีนั้นมีร่างกายเป็นมนุษย์ยาวไปถึงสะดือ ส่วนท่อนล่างจะเป็นนก มีปีกเหมือนดังเช่นเดียวกับนก กินนร จะเป็นเพศผู้ กินรีจะเป็นเพศเมีย และยังปรากฏอยู่ในวรรณกรรมอยู่หลายเรื่องด้วยกัน ตัวอย่างเช่น เรื่องพระอภัยมณี ก็ยังได้มีบทเกริ่น ที่พระบิดาของพระอภัยมณี เจ้าแห่งกรุงรัตนา กล่าวบรรยายนางสนมของตนเองให้กับท้าวสุทัศน์รับฟังว่า “สนมนางแสนสุรางคนิกรดังกินนรกน่ารักลักขณา” เป็นการเปรียบนางสนมของท่านที่มีความงดงามดั่งกับกินรีนั้นเอง และยังมีชื่อนี้ขึ้นในชาดกเรื่อง พระสุธน- มโนราห์อีกด้วย คือในชาดกได้กล่าวถึงเรื่องราวความรักระหว่างมนุษย์กับกินรี บอกถึงความพลัดพรากความรัก การกำเนิด : กินนร กินรี มีตำนานเล่าขานไว้ต่างกัน ตามคติของศาสนาฮินดู เกิดมาจากหัวแม่เท้าของพระพรหมพร้อมกับพวกยักษ์ จึงเป็นบริวารของพระกุเวรที่อยู่เชิงเขา แต่ที่เทวประวัติ คือ พระพุทธเจ้าได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า ท้าวอิลราชได้เสด็จลงมาประพาสป่าได้เดินพลัดหลงทางเข้าไปในเขตหวงห้ามของพระศิวะกับพระแม่อุมา ขณะเดียวกันพระอิศวรกำลังแปลงเป็นหญิงหยอกล้อกับพระแม่อุมา ใครก็ตามที่เข้ามาในเขตนี้จึงต้องกลายเป็นหญิงทั้งหมด  สุดท้ายท้าวอิลราชท่านถูกสาปจากพระอิศวรให้กลายเป็นนางอิลา ต่อมาบริวารกับนางอิลาได้มาเล่นน้ำซึ่งอยู่ใกล้กับที่อยู่ของพระพุธ ขณะนั้นพระพุธเป็นฤๅษี(พราหมณ์สามารถมีภรรยาได้) อยู่เกิดเห็นนางอิลาแล้วชอบ พระพุธบอกว่าบริวารเหล่านั้นไว้ว่า เจ้าทั้งหลายจงเป็นกินรีหากินอยู่ในป่านี้เถิด และได้บอกว่าจะหาอาหารให้นางกิน จะหากินบุรุษให้ บทสรุปคือ กินรีเกิดมาจากการเสกของพระพุธ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วงได้กล่าวถึงกินนรเอาไว้ว่า กินนรกับคนธรรพ์มีรูปร่างคล้ายกันเพราะทั้งสองเป็นพี่น้องกัน ซึ่งอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ ซึ่งลักษณะคือเป็นครึ่งคนครึ่งนก […]

7 ตำนาน ดินแดนลึกลับ “ภูลังกา” ความศรัทธา คำสาป ชาวลับแล เมืองพญานาค

ตำนาน ภูลังกา

ในสังคมไทยไม่ว่าจะเป็นในอดีตจนมาถึงปัจจุบันจะมีความเชื่อ ความศรัทธา ที่เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นไม่สามารถพิสูจน์ได้ ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ตามก็ไม่สามารถเปลี่ยนความศรัทธาของเหล่าคนไทยได้เลย ณ ปัจจุบันนี้มีเรื่องเด่นที่ทุกคนต้องรู้จักกันดี คือ ตำนานความเชื่อที่เกี่ยวกับ “พญานาค” ซึ่งมีความผูกพันกับคนไทยมานานแสนนานที่ไม่คล้ายความศรัทธาจนพญานาคได้มาเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติไทยแล้ว ตามความเชื่อความศรัทธาของคนไทยที่มีต่อ “พญานาค” ซึ่งเป็นสัตว์ในเทพนิยายก็ว่าได้เพราะไม่มีหลักฐานว่าสัตว์ประเภทนี้มีอยู่จริง ไม่มีหลักฐานซากของพญานาค ซึ่งถือว่าไม่มีใครเคยพบเห็นนอกจากผู้ที่มีญาณขั้นสูง อาทิเช่น พระอริยะสงฆ์ผุ้สำเร็จที่พวกท่านมีประสบการณ์พบเจอกับพญานาค แต่สังคมไทยที่มีวิถีชีวิตเกี่ยวพันกับพญานาคไม่ว่าจะปรากฏอยู่ตามบันไดวัดต่างๆ ปรากฏที่บั้งไฟพญานาควันออกพรรษา  เป็นการสะท้อนถึงความเชื่อกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเลยว่ามีความเชื่อและความศรัทธาต่อพญานาคแค่ไหน พญานาคเป็นตัวแทนแห่งความอุดมสมบูรณ์ผุ้พิทักษ์พระพุทธศาสนาอีกด้วย ณ ปัจจุบันนี้มีสถานที่ปรากฏลักษณะของพญานาคเกิดขึ้น วันนี้เราจะไปดู 7 ตำนานเรื่องลึกลับที่พบกับดินแดนมหัศจรรย์  “ภูลังกา” ซึ่งเกี่ยวกับ พญานาคและสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นว่ามีที่ไหนบ้างไปดูกัน 1. ตำนานพญานาคที่ถูกสาปกลายเป็นหิน : “ถ้ำนาคา” ตามตำนานว่าด้วยเรื่องราวของปู่อือลือ กษัตริย์เมืองรัตพานคร ณ ภูลังกา บ้านเมืองของท่านถูกถล่มด้วยความโกรธแค้นของพญานาค เหตุเกิดจากความรักที่ผิดหวังระหว่างมนุษย์กับพญานาค ท่านได้ขับไล่พระธิดาพญานาคและไม่คืนกกุธัณฑ์ให้แก่พญานาคเมืองถูกถล่มแผ่นดินหายไปกลายเป็นบึงโขงหลงภายในคืนเดียว ผู้คนตายหมด ส่วนท่านก็ต้องคำสาปเป็นพญานาค “พ่อปู่อือลือ” อยู่ในสถานที่นั้น 2. ตำนานเมืองบังบด ดินแดนมหัศจรรย์ : “เมืองหลวงของบังบด” เมืองบังบด หรือ เมืองลับแล เป็นเมืองที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า คนที่มีบุญเท่านั้นที่สามารถไปถึงได้ มีเรื่องเล่าจากพระเกจิชื่อดังท่านหนึ่ง […]

4 จอมขมังเวทย์ ฆราวาสเจ้าแห่งอิทธิฤทธิ์ ไสยศาสตร์ ระดับตำนานของไทย

ตำนาน จอมขมังเวทย์

ผู้คนที่มีความเชื่อในเรื่องวิชาคาถาอาคม ไสยเวทย์ เป็นที่รู้กันดีว่าคนที่จะสามารถเรียนรู้วิชาจำพวกนี้ต้องมีญานและสมาธิที่จัดอยู่ในขั้นสูงเพื่อให้ตนเองได้สำเร็จบรรลุวิชาไสยเวทย์นี้ได้ และผู้ที่จะสำเร็จเป็นผู้ที่มีวิชาเวทย์ที่เข้มแข็งเป็นเลิศส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเหล่าพระเกจิอาจารย์หรือจะเรียกได้ว่าพระสงฆ์ที่ออกบวชนั้นเอง ซึ่งในขณะเดียวกันก็มีผู้สำเร็จเป็นฆราวาสหลายท่านก็ได้เช่นกัน และมีชื่อเรียกว่า “จอมขมังเวทย์” สถานที่เล่าเรียนวิชาคาถาอาคมนี้มีชื่อว่า “ตักศิลา” แห่งแดนใต้ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในสมัยก่อน ตักศิลาสถานที่มีผู้ประสิทธิประสาทคอยสอนวิชากันมารุ่นสู่รุ่น เป็นที่มีผู้ศรัทธาและเลือมใสกับผู้คนทั้งประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ณ ยุคปัจจุบันนี้ไม่มีตักศิลาแล้ว  ฆราวาสผู้เป็นจอมขมังเวทย์รุ่นสุดท้ายแห่งตักศิลามีชื่อว่า อาจารย์ เปลี่ยน หัทยานนท์ เป็นสายตรงผุ้สืบทอดวิชาจากอาจารย์ ปาน ปาลธมโม อาจารย์ เปลี่ยน หัทยานนท์ สายฆราวาสเป็นเจ้าพิธีกรรมไสยศาสตร์อาวุโสสูงสุด  รุ่นสุดท้ายแห่งสำนักเขาอ้อ และยังมีฆราวาสจอมขมังเวทย์ ซึ่งเป็นบรมครูแห่งการสักยนต์ มีนามว่า อาจารย์ เทียม ซิวใจเอื้อ ท่านมีชื่อเสียงไปถึงต่างประเทศ ท่านเป็นผู้มีวิชามากมายเป็นยอดปรมาจารย์ในการปั้นพ่อแก่ ท่านยังเป็นผู้มีวิชากำราบผีที่ปราบยาก จะหาใครเปรียบเทียบท่านมิได้อีกด้วยอาจารย์ ปี่ สมาน แจ้งเจริญ เป็นฆราวาสจอมขมังเวทย์ ผู้เลิศด้านผู้เรืองอาคมแห่งการปลุกจิตสร้างวัตถุให้เกิดอิทธิฤทธิ์ที่เข้มแข็งเป็นอย่างมาก ซึ่งจะช่วยให้กับผุ้ใดที่ได้ครอบครองนั้นให้ทำตามดั่งใจที่สมหวัง คือ ว่ากันง่ายๆท่านเป็นบรมครูแห่งด้านการสร้างหุ่นพยนต์นั้นเอง ท่านได้ถูกประสิทธิประสาทวิชานี้มาจากสายอาจารย์ ลอย โพธิ์เงิน ผู้เป็นเลิศการสร้างหุ่นพยนต์ของประเทศไทย วันนี้เรามี 5 อันดับจอมขมังเวทย์ในตำนานมาให้ศึกษากันมีใครบ้างไปดูเลย 1. อาจารย์ เที่ยง น่วมมานา […]

ตำนาน “มกรคายนาค” (เห-รา) สัตว์ลึกลับในป่าหิมพานต์

ตำนาน มกรคายนาค

ภาคเหนือมีสถานที่เที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเที่ยวทางธรรมชาติ และสำหรับชาวพุทธเราต้องไม่พ้นแวะไปวัด วัดทางภาคเหนือมักจะอยู่ตามที่สูงเป็นดอยต่างๆ ส่วนมากจะมีบันไดทอดยาวให้เราเดินไปสักการะที่ข้างบน เหมือนกับวัดพระธาตุดอยสุเทพ คงต้องมีคนสังเกตกันที่บันไดจะไม่เหมือนวัดภาคกลางที่มักจะพบกับพญานาคแต่ที่ภาคเหนือจะเป็นลักษณะเป็นมกรคายนาค มกร – คือตัวอะไร? มกร (มะ-กะ-ระ หรือ มะ-กอน) เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์บริเวณเชิงเขาพระสุเมรุ มกร มีชื่อเรียกอีกหนึ่งคือ เหรา (เห-รา) จะมีลักษณะลำตัวที่ยาวทรงเหมือนพญานาคมีเกล็ด แต่ต่างไปที่มกรจะมีขา ส่วนที่หัวปากจะมีฟันที่แหลมคมเหมือนจระเข้ หลายคนที่เคยเห็นมักจะเข้าใจผิดว่ามกรเป็นตัวเดียวกันกับตัวมอมสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์เช่นกัน ตำนานความเชื่อ – มกรคายนาค อีกตำนานกล่าวไว้ว่า มกร หรือ อาจเรียก เงือกงู มีความเชื่อว่าต้นกำเนิดมาจากคำว่า มังกร มกรคายนาค แต่บางตำราจะบอกว่า เงือกกลืนนาค แต่บางทีก็เรียกยว่าตัวสำรอก ในตำนานนี้จะบอกลักษณะไว้ว่ามันมีลำตัวเป็นงูใหญ่ เท้าสั้นมีถิ่นอาศัยอยู่ในสายน้ำ สาเหตุที่เรียกว่าตัวสำรองนั้นมาจากลักษณะการคายหรือสำรองวัตุอะไรสักอย่างออกมาจากปากนั้นเอง ตัวมกรยังเป็นสัตว์ในนิยายอยู่มาเป็นพันปีแล้ว ในเทวตำนานของศาสนาฮินดูจะมีสัตว์ชื่อว่า มกรอาศัยอยู่ในท้องทะเลเป็นการผสมผสานจากสัตว์หลายชนิด คือส่วนหัวมักจะเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บนบกและส่วนครึ่งล่างมักจะเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำ มกรมักจะถูกจัดสร้างให้อยู่ที่ทางเข้าของศาสนสถานของศาสนาฮินดู พวกมันยังเป็นพาหนะของพระแม่คงคา และยังเป็นพาหนะของพระวรุณเทพแห่งสายฝนท้องทะเล ถ้าเรานำมกรมาเปรียบเทียบกับสัตว์ในป่าหิมพานต์ของประเทศไทยเรา จะมีลักษณะคล้ายกับตัวเหรา ซึ่งจะถูกจัดอยู่ในประเภทสัตว์จระเข้ เหตุที่ต้องเรียกเหราว่าเป็นชื่อมกรเพราะทางภาคเหนือประเทศไทยของเรามีขอบเขตติดกับพม่าจึงได้รับอิทธิพลจากฝั่งพม่ามากกว่านั้นเอง ถ้าเกิดได้กล่าวว่าเหราก็จะเป็นสัตว์ที่ผสมระหว่างจระเข้กับพญานาค ลำตัวยาวและส่วนหัวเหมือนพญานาคลำตัวกับปากเหมือนจระเข้ แต่บางตำราก็ได้บอกว่าเหราหรือมกร เป็นสัตว์ที่มีการผสมระหว่างมังกรของจีนกับพญานาค […]

ตำนาน “เทวดานพเคราะห์ตามวันเกิดทั้ง 9” 

ตำนาน เทวดานพเคราะห์ตามวันเกิดทั้ง 9

เทวดานพเคราะห์ เป็นเทพผู้ครอบเรือนด้านชะตากรรมของมนุษย์ทั้งปวง มีฐานต้นกำเนิดมาจากโหราศาสตร์ทางศาสนาฮินดูที่ให้พระสุริยเทพ (วันอาทิตย์)เป็นที่หนึ่งคอยปกครอง ส่วนอีก 8 จะเป็นบริวาร จะสร้างภัยอุปสรรคต่างๆให้กับหมู่มนษย์ แต่ต่อมาได้เปลี่ยนผู้ปกครองควบคมเปลี่ยนเป็น พระคเณศเป็นผู้ปกครองเป็นหัวหน้าอยู่เหนือเทวดานพเคราะห์ทั้งปวง 1. พระอาทิตย์ – พระสุริยะเทพบุตร พระอาทิตย์ ผู้อยู่เหนือเทวดานพเคราะทั้งหมด เกิดจากพระศิวะนำไกรราชสีห์ 6ตัว มาบดห่อผ้าแดงพรมน้ำอมฤตร่ายคาถากลายมาเป้นพระอาทิตย์มีลักษณะเป็นกายสีแดงพาหนะเป็นราชสีห์ เป็นเทวดาประเภทบาปเคราะห์ มีพระอังคารเป็นศัตรู เป็นมิตรกับพระพฤหัส นิสัยของท่าน คือ อารมณืร้อน ตัดสินใจเร็ว ซื้อสัตย์ รักอิสระ ผู้เกิดวันนี้ควรบูชาพระพุทธปางถวายเนตร 2. พระจันทร์ – พระจันทะเทพบุตร พระจันทร์เป็นเทพองค์หนึ่งมีหลายตำนาน พระจันทร์เป็นเทวดาประเภทศุภเคราะห์ ตามศาสนาพุทธพระจันทร์เป็นบุรุษมีพระกายสีขาว สองพระกรถือดอกบัว มีพระขันติเป็นอาวุธ ชุดสีขาว มีม้าเป็นพาหนะ พระจันทร์เกิดจาก พระศิวะนำนางฟ้า 15 องค์มาบดห่อด้วยผ้าสีเหลือพรมน้ำอมฤตร่ายคาถาก่อเกิดเป็นพระจันทร์ มีพระพุทธเป็นมิตร และศัตรูท่านคือพระพฤหีสบดี 3. พระอังคาร – พระภุมมะเทพบุตร พระอังคาร เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม ท่านเป็นทหารผู้มีโทษะจริต เกิดจากพระศิวะนำหัวกระบือ 8 […]

ตำนาน “จอมปีศาจแห่งบาปทั้ง 7” ศาสนาคริสต์ จากคัมภีร์ไบเบิล

ตำนาน จอมปีศาจแห่งบาปทั้ง 7

จากความเชื่อของศาสนาคริสต์ได้กล่าวถึงมหาบาปทั้ง 7 เอาไว้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับการทำความดีได้ขึ้นไปรับรางวัลบนสวรรค์ แต่กลับกันถ้าบุคคลใดทำความชั่วเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบ สร้างความเดือดร้อนลำบากทั้งใจและกายแก่ผู้อื่นต้องกลายเป็นวิญญาณไปสถานที่เดียวคือนรกไปรับความทุกข์ทนทรมาน ชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองทำอีกนานซึ่งมีความคล้ายกับศาสนาพุทธ ความเชื่อที่ผู้คนมักสนใจกันเป็นพิเศษคือ มหาบาปทั้ง 7 ของมนุษย์เรา The Seven Deadly Sins ตามหลักคำสอนความเชื่อตามศาสนาคริสต์ มนุษย์เรามักมีสัญชาตญาณดิบที่อยู่ในส่วนลึกของตัวเราทุกคนมันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ถ้าปล่อยให้มันออกมาโลกนี้ก็จะไม่สงบสุข ถ้ามันออกมามนุษย์จะเกิดความเห็นแก่ตัว เบียดเบียนผู้อื่น อาจทำให้โลกเราเสียความสมดุลจากธรรมชาติเลยก็ว่าได้ ทางศาสนาคริสต์มักจะสอนว่า บาปแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือบาปหนัก และบาปเบา บาปความหมายว่าการกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายแต่รองรับด้วยเหตุและผลเช่น ขโมยของกินจากคนรวยไปแจกคนจน หรืออาจลักขโมยของกินมาให้ครอบครัวที่กำลังอดยาก สิ่งเหล่านี้เป็นบาปดีบาปเบา ถ้าไปสารภาพกับพระเจ้าหรืออาจเป็นบาปหลวงบาปเล่านั้นก็จะหายไป ส่วนบาปหนัก ตัวอย่างเช่น บาปที่มีการกระทำร้ายแรงไม่สามารถให้อภัยได้ บาปเหล่านี้ที่เป็นสัญชาตญาณดิบสลักอยู่ภายในจิตของมนุษย์ ใครที่ทำบาปหนักจะไม่สามารถขึ้นสวรรค์ไปได้ต้องตกลงไปชดใช้ที่นรกสถานเดียว ซึ่งบาปในส่วนนี้จะมีทั้งหมด 7 ประกาศ ในที่นี้เราจะเรียงจากบาปน้อยไปสู่บาปที่โหดสุด บาปหนัก  1. Pride (ลูซิเฟอร์): บาปแห่งความเย่อหยิ่งทระนง บาปที่ 1 คือ Pride บาปความเหย่อหยิ่งทรนงตน เกิดจากความอหังการ หลงในอำนาจของตัวเอง มหาบาป ผู้ที่เกี่ยวข้องกับบาปนี้ได้แก่ ลูซิเฟอร์ […]

ตำนาน “พญาครุฑ” ความเชื่อ ผู้มีความกตัญญู เจ้าแห่งเวหา ราชาแห่งนกทั้งปวง

ตำนาน พญาครุฑ

พญาครุฑ หรือ ครุฑ สัตว์กึ่งเทพ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งชาวไทยมีความเคารพบูชามาตั้งแต่อดีตนานมา ทุกคนย่อมเคยเห็นท่านพญาครุฑกันอย่างแน่นอนเพราะท่านเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนหรือเกี่ยวข้องกับกษัตริย์เริ่มใช้มาตั้งแต่ในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่ง ณ ปัจจุบันจะเห็นตามหนังสือข้าราชการ ตามหน้าตึกธนาคาร หรือ ตามธนบัตรทุกใบของคนไทยเรานี่เอง วันนี้เราจะมาเจาะประวัติความเป็นมา ความเชื่อศรัทธาของพญาครุฑกัน ประวัติความเป็นมา : พญาครุฑ พญาครุฑ เป็นสัตว์เดรัจฉานกึ่งเทพผู้มีฤทธิ์มาก เทพเจ้าแห่งท้องฟ้า ราชาแห่งนก ตามตำนานได้กล่าวเอาไว้ว่า ตามศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู พุทธ เชน ได้มีความเชื่อว่า กาลครั้งหนึ่งยาวนานผ่านมา ฤๅษีมีนามว่า กัศยปะ ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดของดวงจิตพระพรหม ท่านฤาษีผู้มีภรรยามาก หนึ่งในนั้นคือมารดาของพญาครุฑซึ่งมีนามว่า นางวินตา และมีพี่น้องอีกคนชื่อ กันทรุ เป็นหนึ่งในภรรยาท่านฤาษีกัศยปะผู้เป็นมารดาของพญานาค ซึ่งจะกำเนิดตำนาน พญาครุฑกับพญานาคผุ้เป็นพี่น้องคนละแม่ เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาต พญาครุฑมักจะจับพญานาคกินเป็นอาหารเพราะมีความแค้นมาตั้งแต่เก่าก่อน ด้วยเหตุการณ์ที่แม่ของพญาครุฑนางวินตาแพ้พนัน(ซึ่งโดนโกงไม่มีความยุติธรรมจากนางกันทรุ) นางวินตาต้องรับโทษกลายเป็นทาสให้กับนางกันทรุเป็นจำนวน 500 ปี พญาครุฑได้ทราบถึงเหตุการณ์นี้จึงมีความสงสารพระมารดาของตนเป็นอย่างมาก จึงได้ไปไถ่ถามพญานาคว่าขอให้อดโทษกับพระมารดาของเราด้วยเถิด พญานาคก็ตกลงแต่พญาครุฑต้องไปนำน้ำอมฤตจากพระอินทร์มาก่อนถึงจะถอนคำสาปนี้ให้ พญาครุฑท่านได้ยินเช่นนั้นจึงได้ไปกราบพระมารดาว่าจะไปเอาน้ำอมฤตมาให้ได้เพื่อให้พระมารดาของตนมีชีวิตที่ดีกว่าที่ควรจะเป็น พญาครุฑท่านก็ได้เดินทางไปนำน้ำอมฤตลงมาให้พญานาคกิน ท่านพญาครุฑต้องผ่านอุปสรรคต่างๆนาๆด้วยจิตที่ดี จึงผ่านพ้นไปนานตลอดจนถึงเทวโลกพบกับพระอินทร์ผู้เฝ้าน้ำอมฤต พญาครุฑได้กล่าวความจำนงว่าต้องการน้ำอมฤตไปช่วยพระมารดาของตน แต่พระอินทร์ไม่ยอม […]