จังหวัดสุราษฏร์ธานีที่หลายคนคงรู้จักในนามไข่เค็มไชยาและหอยนางรมแสนอร่อย แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ยังคงมีความน่ากลัวทั้งในตัวโรงแรมและสถานท่องเที่ยวต่างๆ ในจังหวัด วันนี้จึงได้รวม 5 ตำนานเรื่องเล่าสยองจังหวัดหวัดสุราษฏร์ธานี เพื่อที่จะได้รู้อีกด้านหนึ่งของจังหวัดสุราษฏร์ธานีกัน ถ้าอยากรู้ว่าเป็นยังไงลองอ่านกันดูนะครับ…
1. ตำนานหินตาหินยาย (ระดับความสยอง: 6/10)

หินตาหินยายนั้น สามารถพบได้ที่บริเวณหาดละไม เกาะสมุย ในจังหวัดสุราษฏร์ธานี หินตาและหินยายนั้นอยู่ที่ลานหินกว้างริมชายหาด ถ้าคุณมองไปทางด้านขวามือนับจากทะเลคุณจะเห็น“หินตา” ซึ่งเป็นหินแกรนิตขนาดใหญ่ที่ถูกน้ำทะเล สายลม และแสงแดด กัดเซาะจนมีลักษณะของหินคล้ายอวัยวะเพศชายตั้งชี้ฟ้าอยู่ และหากคุณมองไปทางซ้ายมือนับจากทะเลคุณจะได้เห็น“หินยาย” เป็นก้อนหินแกรนิตขนาดมหึมา มีลักษณะเหมือนร่างของผู้หญิงบริเวณช่วงเอวลงมา นอนทอดตัวอยู่ลงไปทางทะเล นี่คือลักษณะของหินตาหินยายที่สามารถพบเจอได้ แต่นอกจากนี้ยังมีตำนานของหินตาหินยายที่มีการเล่ากันมาตั้งแต่อดีตและถูกเล่าต่อๆ กันมา
ในตำนานถูกเล่ากันมาว่า นานมาแล้วมีตายายคู่หนึ่งชื่อว่า ตาเครง และ ยายเรียม แกเป็นชาวปากพนัง อยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช กำลังจะเดินทางไปสู่ขอลูกสาวของตาม่องล่าย ที่จังหวัดประจวบ ให้กับลูกชายของแกชื่อว่า คง โดยพวกแกได้เดินทางโดยเรือสำเภา ในระหว่างที่กำลังเดินทางอยู่นั้น พอมาถึงตรงบริเวณแหลมละไมก็ได้เกิดพายุใหญ่ขึ้นทำให้เรือล่ม ซึ่งสินสอดทองหมั้นที่ตายายตั้งใจเตรียมไว้เพื่อไปสู่ขอได้จมน้ำหายไปจนหมด ส่วนญาติที่เดินทางเพื่อมาสู่ขอด้วยได้จมน้ำเสียชีวิตกันหมดกลายเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยรายรอบเกาะสมุย ส่วนนายคงลูกชายของแกนั้นได้ถูกน้ำซัดไปทางหาดเชิงมนและเสียชีวิตไปกลายเป็นเกาะกง

ที่ยังเหลือจากผู้ที่ตายไปทั้งหมดนั้นมีเพียงตาเครงและยายเรียม ซึ่งถูกทะเลซัดมาที่หาดละไม ทั้งตัวตาและยายนั้นเสียใจอย่างมากและกลัวว่าตาม่องล่าย จะคิดว่าตนทั้งสองเป็นคนไม่รักษาคำพูด ทั้งคู่จึงพากันอธิฐานขอให้บริเวณนี้เกิดเป็นสัญลักษณ์เพื่อที่จะให้ตาม่องล่ายรับรู้ว่าพวกตนนั้นไม่ได้ผิดคำสัญญาที่ให้ไว้ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็กลั้นใจกระโดดน้ำที่หาดละไมเพื่อฆ่าตัวตายและก็กลายเป็นหินตาหินยายถึงทุกวันนี้
ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีหินตาหินยายให้เห็นอยู่บริเวณหาดละไมในเกาะสมุย หากใครต้องการเห็นก็สามารถไปที่เกาะสมุยและไปสังเกตได้ที่หาดละไมนะครับ
2. ตำนานเกาะเต่า (ระดับความสยอง: 6/10)

เคยมีการถูกบันทึกเกี่ยวกับเกาะเต่าไว้ว่าตั้งแต่ปี 2476 เกาะเต่ามีไว้สำหรับคุมขังนักโทษการเมือง แต่ละคนที่ถูกนำมาที่นี่นั้นบ้างก็ถูกจำคุกและถูกปล่อยตัวไป แต่บ้างก็ถูกจำคุกตลอดชีวิต แต่สำหรับใครที่ได้ถูกปล่อยออกไป ก็มักจะทำผิดและถูกกลับมาถูกขังที่คุกแห่งนี้เช่นเคย หลังจากนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในปี 2487 ทางการจึงได้มีการตัดสินใจที่จะปล่อยตัวนักโทษทั้งหมด หลังจากนั้น 3 ปีต่อมาก็ได้มีการพัฒนาเกาะเต่าแห่งนี้ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เพราะเหตุนี้ได้คำพูดจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เคยได้มาท่องเที่ยวในบริเวณเกาะเต่าแห่งนี้ พูดถึงเวลาที่พวกเขาได้เข้ามาพักในที่พักในเกาะ
หลายคนได้พูดถึงเสียงแปลกๆ เวลาที่พวกเขานอนอยู่ในที่พัก เสียงที่พวกเขาได้ยินนั้นคือเสียงของใครบางคนที่ใช้เล็บในการกรีดพนัง เหมือนคนใช้นิ้วเจาะที่กำแพงและลากนิ้วกรีดไปรอบๆห้องพักที่พวกเขาพัก บางคนก็บอกว่าพวกเขาได้ยินเสียงร้องโหยหวนมาจากข้างนอก เหมือนจะเป็นเสียงที่ร้องเพราะความเจ็บปวดจากบางอย่างหรือเป็นเสียงที่แสดงให้รู้สึกถึงความทรมาน ซึ่งหากไปถามถึงชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวนี้ พวกเขาคงจะบอกว่า เสียงพวกนี้อาจจะมาจากนักโทษที่ได้เสียชีวิตไปใน ณ ที่บริเวณเกาะเต่าแห่งนี้ คงจะเป็นดวงวิญญาณที่ถูกขังลืมไว้ส่วนใดส่วนหนึ่งและได้เสียชีวิตไปในที่สุด
3.ผีตาฮก (ระดับความสยอง: 7/10)

ผีตาฮก เกิดขึ้น ณ อำเภอพุนพิน เคยมีเรื่องผีเกี่ยวกับผีตาฮกมาว่า “ตาฮก” นั้นเป็นคนในหมู่บ้าน แกมีอาชีพหาปลาด้วยวิธีการทอดแห แกมักจะออกเรือไปทอดแหหาปลากับลูกชายของแก แต่บริเวณที่แกไปนั้นไม่ใช่ทะเลอะไร แต่เป็นเพียงแค่คลองแถวๆ นั้นที่แกหาเป็นประจำอยู่แล้ว
มีอยู่วันหนึ่งตาฮก แกได้ออกไปหาปลากับลูกชายของแกตามปกติ ในขณะที่แกกำลังแหปลาจนเกือบจะได้ตามที่แกต้องการแล้ว ในการแหปลาครั้งสุดท้ายของแกนั้นก็ได้เกิดเรื่องสยองขวัญขึ้น เพราะการทอดแหครั้งสุดท้าย ได้มีจระเข้ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งเข้ามาโผล่พรวดขึ้นมาจากน้ำและได้ฉีกร่างของตาฮกขาดไปครึ่งตัวและได้ลากครึ่งตัวลากของตาฮกลงไปในน้ำโดยเหลือเพียงครึ่งท่อนล่างไว้ได้ให้เห็น ในตอนนั้นลูกชายของแกก็ได้แต่ตกใจและร้องเสียงลั่นออกมา ในตอนนั้นเหลือเพียงครึ่งล่างของตาฮกที่ดิ้นไปมาและมีเลือดสาดกระจายอยู่เต็มลำเรือ หลังจากตั้งสติได้ลูกชายของแกก็ได้นำร่างที่เหลือกลับและได้จัดงานศพให้ตาฮกเรียบร้อย ซึ่งหลังจากนั้นลูกชายของแกก็สาบานว่าจะไม่ยอมไปหาปลาที่ไหนอีกไม่ว่าจะคลองไหน
หลังจากจบงานศพของตาฮกไปได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์ ชาวบ้านแถวนั้นก็ต้องเจอดี เพราะหลังจากลูกชายของตาฮกตัดสินใจที่จะไม่หาปลาอีกต่อไปทำให้เรือที่ตาฮกกับลูกชายของแกใช้เป็นประจำต้องจอดทิ้งไว้ที่คลองแห่งนั้น ในตอนกลางวันก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอในตอนกลางคืน วันดีคืนดี ชาวบ้านที่ใกล้เรือนเคียงมักจะได้ยินเสียงของคนเดินเหยียบเรือจนได้ยินเหมือนเสียงไม้กระดานดังลั่นเกรียวกราวขึ้นมาจากทางน้ำ ทั้งๆที่ตอนนั้นไม่มีคนและไม่มีแม้แต่ลมเลย ซึ่งชาวบ้านแถวๆนั้นก็ได้คุยกันและก็ได้ยินเสียงเหมือนๆกันในตอนกลางคืนซึ่งเสียงนั้นดังขึ้นทุกคืนไม่หยุด ชาวบ้านทุกคนก็พอรู้แล้วว่าเสียงนั้นคงเป็นวิญญาณของตาฮกที่ยังคงไม่ไปไหนและยังคงอยู่กับเรือของแก จนสุดท้ายชาวบ้านทั้งหมดต้องช่วยกันนำเรือของตาฮกไปถวายให้วัดเพื่อที่จะช่วยให้วิญญาณของตาฮกไปอย่างสงบซักที
4. ตำนานโค้งวัดเขาแก้ว (ระดับความสยอง: 9/10)

นี่คือเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับชายคนหนึ่ง สถานที่ที่เกิดเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่โค้งวัดเขาแก้ว ที่อยู่ในหมู่หนึ่ง ว่ากันว่าถนนโค้งนี้เป็นจุดอันตราย ทำให้หลายคนต้องจบชีวิตที่โค้งแห่งนี้ แต่สิ่งที่น่ากลัวนั้นได้เกิดกับเซลล์แมนคนหนึ่งที่ทำให้เค้านั้นเกิดคำถามว่ามันคืออะไรกันแน่
ในปี 2561 หลังจากที่เซลล์แมนเขาได้ทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังขับรถกลับ ในตอนนั้นเป็นเวลาตีสองครึ่ง รถของเซลล์แมนกำลังขับรถมาอย่างดีๆ จู่ๆ ก็มีเงาคล้ายกับชายสูงวัยปรากฏขึ้นมาบนกลางถนน ชายลึกลับคนนี้สวมเสื้อสีขาวยืนอยู่กลางถนน นั่นทำให้เซลล์แมนคนนั้นตกใจและเขาคิดว่าเขาคงขับรถชนชายชราคนนั้นไปแล้วแน่ๆ หลังจากนั้นเขาจึงจอดรถและดูว่าชายชราคนนั้นเป็นยังไงบ้าง แต่สิ่งที่เขาพบนั้นคือความว่างเปล่า ไม่มีทั้งร่องรอยการชนหรือชายชราคนนั้นที่เขาเห็น เมื่อเขากลับไปถึงบ้าน เขาจึงเช็คกล้องหน้ารถเพื่อดูว่าสิ่งที่เจอระหว่างตอนขับรถนั้นคืออะไร ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาไม่เข้าใจว่านั่นคืออะไรกันแน่ เพราะสิ่งที่อยู่ในกล้องนั้น ได้มีคนยืนอยู่บนถนนจริงๆแต่เมื่อเขาลงจากรถเพื่อดูก็ไม่พบอะไร เขาจึงได้โพสลงเฟสบุ๊คของเขา ซึ่งหลายๆ คนที่ได้เห็นคลิปนี้ก็ต่างบอกกันว่าพวกเขาก็เคยเจอเหมือนกัน…
5. ตำนานโรงแรมผีสิง แก้ว (ระดับความสยอง: 8/10)

โรงแรมภายในจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้มีอยู่โรงแรมหนึ่งที่ขึ้นชื่อเกี่ยวกับวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ภายในโรงแรมแห่งนั้น มักจะมีนักท่องเที่ยวที่โดนดีอยู่เป็นประจำภายในโรงแรมแห่งนี้
เรื่องแรกที่มีนักท่องเที่ยวได้โดนวิญญาณหลอกหลอนคือห้องอาถรรพ์ 313 ภายในห้องนี้หากใครได้เข้าไปนอน มักจะต้องสะกิดใจอยู่บางอย่างเพราะภายในห้องนั้นจะมีเพด่านอยู่สองจุดที่เป็นช่องโหว่งอยู่ ซึ่งว่ากันว่านั่นคือทางผ่านของผี นอกจากนี้หากคุณนอนหลับอยู่นั้น คุณจะได้ยินเสียงของใครบางคนพูดถามดังมาจากทางห้องน้ำว่า “มาทำอะไร” หากในตอนที่คุณนอนอยู่นั้นนั้นคุณสวมสร้อยพระเอาไว้ ในตอนคุณตื่นมาคุณจะพบว่าสร้อยพระของคุณจะไม่ได้อยู่บนคอคุณแล้วและในตอนคุณนอนนั้นคุณจะโดนผีอำ คอยอำหลอกหลอนคุณตลอดเวลา ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้
นอกจากนี้ยังมียังมีอีกเรื่องเล่าหนึ่งเล่าว่า มันจะมีอยู่ห้องหนึ่งในโรงแรมที่เตียงนั้นอยู่ใกล้กับกระจกบานใหญ่ ซึ่งไม่มีใครบอกว่าห้องนี้คือห้องหมายเลขอะไร ซึ่งหากใครโชคดีได้นอนในห้องแห่งนี้ ตอนคุณอยู่ในห้อง คุณจะได้ยินเสียงน้ำไหลจากฟักบัวดังออกมาจากห้องน้ำ ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่มีใครเปิดฟักบัวเอาไว้ และเมื่อคุณไปเช็คดูคุณก็จะพบว่าห้องน้ำนั้นมีรอยน้ำอยู่จริง และเมื่อคุณเข้านอนจนหลับ มักจะมีเสียงคนเคาะประตูปลุกและมันจะมีเสียงคนเคาะประตูปลุกเรื่อยๆจนกระทั่งคุณตื่นและเมื่อคุณตื่นสิ่งที่คุณจะเจอคือเงาดำใหญ่ของใครบางคนที่ยืนอยู่ภายในห้องและมองมาที่คุณและหากคุณยังจ้องมองเงาดำนั้นกลับ เงาดำนั้นก็จะค่อยๆเดินออกไปจากประตู โดยที่ประตูนั้นก็ยังคงปิดไว้อยู่ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเรื่องเล่าเหล่านี้เป็นความจริงหรือเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมา แต่เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากจะพบเจออย่างที่คนอื่นได้เจอกันมาอย่างแน่นอน
หื้อออ… เป็นยังไงบ้างครับกับรวม 5 ตำนานเรื่องเล่าสยองจังหวัดหวัดสุราษฏร์ธานี ถึงบ้างเรื่องจะไม่ได้น่ากลัว แต่ก็สามารถพูดได้เต็มปากว่าตอนอ่านอยู่นั้นขนลุกขนพองกันเลยทีเดียว หากใครอยากรู้ว่าเรื่องที่อ่านมาเป็นความจริงหรือไม่ สามารถไปดูสถานที่จริงได้ที่จังหวัดสุราษนี่เองนะครับ แต่ระวังกันด้วยนะ อย่าหาว่าแอดไม่เตือนน้า บรือ…
ที่มา : travel.gimyong.com, www.thenightshock.com, shock.mthai.com, www.sanook.com