จังหวัดสมุทรสงครามที่ดูเหมือนจะไม่มีเรื่องราวอะไรมาก เป็นจังหวัดๆ หนึ่งที่แอดมินมักจะขับรถผ่านเป็นประจำเวลาที่จะเดินทางไปภาคใต้ วันนี้แอดมินจะรวบรวม 5 ตำนานเรื่องเล่าสยองจังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อที่จะเช็คถึงความน่ากลัวของจังหวัดนี้ หากรู้ว่าเป็นยังไงรู้อ่านกันดูเลย…
1. พระกินคน วัดเขายี่สาร (ระดับความสยอง : 8/10)

วัดเขายี่สารนั้นถูกสร้างในตอนอยุธยาตอนปลายเป็นวัดที่ถูกสร้างขึ้นบนภูเขาสามารถเรียกได้ว่าเป็นวัดวัดเดียวที่ถูกสร้างบนภูเขาในจังหวัดสมุทรสงคราม ตั้งอยู่ในบริเวณอำเภอ ยี่สาร นี่เอง
ภายในด้านบนของวัดยี่เสานั้นมีอยู่ส่วนนึงที่ภายในนั้นมีพระที่เป็นปรางสมาธิ เป็นองค์ที่มีขนาดใหญ่มาก ซึ่งชาวบ้านระแวงนั้นที่นับถือท่านเรียกพระองค์นี้ว่าพระพุทธรูปปากแดง เคยมีการตีพิมพ์ลงนิตยสารวัฒนธรรมในช่วงปี 2547 ในนิตยสารนั้นได้พูดถึงพระพุทธรูปปากแดง พระพุทธรูปปากแดงถือได้ว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะน่ากลัว เคยมีตำนานเรื่องน่ากลัวเกี่ยวพระพุทธรูปองค์นี้ในสมัยก่อนว่า ซึ่งคนโบราณที่ต่างเล่าเรื่องนี้ต่างเล่ากันว่ามันเป็นเรื่องราวที่น่าสลดใจเพราะมีในอดีตนั้นมีเด็กคนหนึ่งได้เข้ามาวิ่งเล่นภายในวิหารและหลังจากนั้นก็ได้หายตัวไปอย่างมีเงื่อนงำ ในตอนนั้นได้มีผู้ที่ได้ยินเสียงกริ๊ดร้องของเด็ก เหล่าพระสงฆ์ต่างกันเดินพาไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเดินไปถึงภายในวิหารที่เกิดขึ้นของเสียงร้อง พระสงฆ์ไม่พบอะไรเลยในบริเวณนั้น สิ่งที่ท่านพบมีเพียงผ้านุ้งของเด็กที่ถูกวางกองเอาไว้ตรงบริเวณข้างหน้าของพระพุทธรูป พอพวกท่านเงยหน้ามองไปบนตรงใบหน้าของพระพุทธรูป พวกท่านก็สังเกตได้ว่าบริเวณใบหน้านั้นมีอะไรบางอย่างที่ดูผิดปกติซึ่งรอยนั้นคือรอยของเลือด ซึ่งมันไปอยู่ตรงบริเวณปากของพระพุทธรูปได้อย่างไร
เหล่าพระสงฆ์ที่อยู่ในตอนนั้นจึงต่างพากันสรุปว่าพระพุทธรูปนั้นได้ทำการสังหารเด็กคนนั้นไปแล้ว ในตอนนั้นเหล่าพระสงฆ์จึงตัดสินใจเอาตะปูมาตอกไว้ตรงบริเวณปากของพระพุทธรูปเพื่อไม่ให้ท่านไปสังหารเด็กคนไหนอีก และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีเกี่ยวกับเรื่องของเด็กหายไปภายในวัดแห่งนี้อีกเลย หากใครได้มีโอกาสได้เข้าเที่ยวที่จังหวัดสมุทรสงครามอย่าลืมที่จะแวะไปศักการะบูชาหรือไหว้พระที่วัดเขายี่สารกันด้วยนะครับและที่สำคัญ อย่าลืมที่จะดูบริเวณช่วงปากของพระพุทธรูปปากแดงว่ามีรอยตะปูอยู่จริงหรือไม่ ซึ่งในทางกลับกันเรื่องนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นเพื่อที่จะไม่ให้เด็กขึ้นไปปืนเล่นตรงบริเวณพระพุทธรูป แต่เราก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
2. ตำนานยักษ์แม่ใหญ่ วัดนางตะเคียน (ระดับความสยอง : 7/10)

ตำนานนี้เกิดขึ้นที่วัดนางตะเคียนหรือที่ชาวบ้านแถวนั้นเรียกกันสั้นๆ ว่า “วัดนางเคียน” ตั้งอยู่ในอำเภอคลองเขิน อำเภอเมือง เป็นวัดที่มีตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เหตุผลที่ว่าวัดนี้ใช้ชื่อว่าวัดนางตะเคียนก็เพราะว่าวัดนี้มีต้นนางตะเคียนขนาดใหญ่อยู่คู่หนึ่งหรือบางคนก็บอกว่าเพราะว่าวัดนี้ตั้งอยู่ที่คลองนางตะเคียนและมีต้นนางตะเคียนอยู่มากมายที่บริเวณวัด ซึ่งในตำนานที่เกี่ยวกับเรื่องของยักษ์นั้น ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นมักจะรู้จักกันดีในนามของยักษ์แม่ใหญ่แห่งวัดนางตะเคียน ซึ่งชาวบ้านนั้นต่างร่ำลือกันว่านางยักษ์แม่ใหญ่ตนนี้ศักสิทธิ์มาก ทั้งในเรื่องโชคลาภและการมีบุตร
ในสมัยก่อนนั้นภายในวัดนางตะเคียนเป็นวัดที่มีสภาพรกร้าง ชาวบ้านที่อยู่ระแวงนั้นต่างกลัวเพราะภายในวัดนั้นมีวิญญาณเฮี้ยนอยู่มาก ใครที่เดินผ่านบริเวณวัดในตอนกลางคืนก็มักจะโดนผีหลอกกันไปทั่ว ผลสุดท้ายก็ทำให้ไม่ค่อยมีชาวบ้านที่กล้าจะออกมาเดินผ่านในวัดซักเท่าไหร่โดยเฉพาะบริเวณต้นนางตะเคียนขนาดใหญ่สองต้นที่อยู่ภายในวัด ชาวบ้านมักจะเห็นเจ้าแม่ตะเคียนยืนอยู่ตรงนั้นเป็นประจำ แต่ในปัจจุบันนี้ต้นตะเคียนขนาดใหญ่สองต้นนั้นได้ล้มตายไปหมดแล้ว ซึ่งต้นหนึ่งได้ถูกนำออกไปแล้วและอีกต้นหนึ่งยังคงยืนต้นตายอยู่ที่ภายในวัด จึงได้มีการสร้างศาลให้สำหรับเจ้าแม่ตะเคียนได้อยู่ภายในศาลแทนหลังจากต้นตะเคียนใหญ่ได้ตายลง

นอกจากนี้ยังมีตำนานที่ชาวบ้านต่างพูดถึงเหล่ายักษ์ คนเฒ่าคนแก่ได้เล่ากันว่า แถววัดนั้นเคยมีคนได้เห็นว่ามียักษ์ได้เดินออกมาพรวดพาดกันภายในวัด และบางครั้งก็มีคนเห็นเหล่ายักษ์เดินมาลงเล่นน้ำอยู่ในคลอง นั่นจึงทำให้ทางวัดได้สร้างรูปปั้นยักษ์ไว้อยู่ตรงริมตลิ่ง แต่ด้วยความที่ว่าวัดอยู่ติดกับตัวคลองและได้สร้างรูปปั้นยักษ์ไว้ติดคลอง พอเวลาผ่านไปน้ำในคลองก็ค่อยๆ กัดเซาะจนทำให้ส่วนพื้นตรงริมตลิ่งที่ได้มีรูปปั้นยักษ์บริเวณนั้นได้แตกและทำให้เหล่ารูปปั้นยักษ์นั้นตกลงไปในใต้นั้น ซึ่งด้วยความที่มีรูปปั้นมีขนาดที่ใหญ่และเยอะจึงไม่มีใครที่คิดจะนำรูปปั้นนั้นขึ้นมาจากน้ำ จนเวลาผ่านไปถึงปี 2551 ได้มีชาวบ้านคนหนึ่งได้ฝันถึงยักษ์ตนหนึ่งที่ฝั่งอยู่ในน้ำแถวริมคลองหน้าวัดนางตะเคียน ซึ่งลักษณะของยักษ์นั้นทำท่าเหมือนจะหนาวอยู่ภายในน้ำนั่น จึงทำให้เค้าได้ไปบอกชาวบ้านคนอื่นๆ แต่ก็ไม่มีใครสนใจเรื่องพวกนี้และคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ จากนั้นเรื่องก็ได้ไปถึงหูของผู้ใหญ่ใจดีและได้มีการจ้างนักประดาน้ำไปเช็คดูจริงๆ และสุดท้ายก็ได้พบกับท่อนอะไรซักอย่างที่มีขนาดใหญ่มาก แต่และจากที่นำขึ้นมาก็ได้รู้ว่านั่นเป็นรูปปั้นของพระนางสุพรรณอัปสรหรือที่เรียกกันว่ายักษ์แม่ใหญ่ ซึ่งหลังจากนั้นทางวัดก็ได้สร้างรูปปั้นของยักษ์แม่ใหญ่ขึ้นมาใหม่ และได้มีชาวบ้านมากมายที่ต่างพากันไปไหว้และขอพรจากท่าน ซึ่งตัวท่านนั้นดังในทั้งเรื่องการขอเกี่ยวกับเงินทองและเกี่ยวกับเรื่องลูก ส่วนใหญ่ใครที่ขอไปก็มักจะได้ตามที่ขอและในปัจจุบันนั้นรูปปั้นยักษ์แม่ใหญ่ก็ยังมีให้เห็นและเข้าไปไหว้เพื่อขอพรได้ที่วัดนางตะเคียนนี่เอง
3. รีสอร์ทหมายเลข 72 (ระดับความสยอง : 7/10)

เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับครอบครัวหนึ่งที่ได้มาแวะหาเพื่อนเพื่อเอาของมาให้และต้องการเที่ยวที่จังหวัดสมุทรสงครามด้วย เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ซึ่งวันนั้นพวกเขาได้แวะหาเพื่อนก่อนในวันแรกที่ไปถึงหลังจากที่แวะหาเพื่อนและทำธุระกันเสร็จแล้ว นั่นก็เป็นเวลา 6 โมงเย็นกว่าๆเข้าไปแล้วซึ่งเพื่อนของพวกเขาก็ได้ชวนให้พวกเขา พ่อแม่ลูก นอนที่นี่ที่บ้านเพื่อนเขา แต่พวกเขาก็ได้ปฏิเสธไปด้วยความเกรงใจและต้องการที่จะหาโรงแรมหรือรีสอร์ทที่ติดกับริมน้ำเพื่อที่จะดูบรรยากาศอะไรทำนองนั้นจึงได้ปฏิเสธไป แต่โดยปกติแล้วหากพวกเขาไปเที่ยวที่ไหนพวกเขาก็จะทำการดูรีวิวและจองโรงแรมผ่านแอพไว้ก่อนที่จะไปที่นั้นๆ แต่ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้เตรียมการอะไรไว้เลยแม้กระทั่งเช็ครีสอร์ทที่จะพักในคืนนี้
เพื่อนของพวกเขาจึงได้แนะนำให้ไปพักรีสอร์ทที่อยู่ใกล้ๆ กับป่าชายเลน พวกเขาเลยตัดสินใจไปหารีสอร์ทที่เพื่อนของพวกเขาได้แนะนำเอาไว้โดยที่เปิด GPS นำทางมุ่งหน้าไปทางรีสอร์ทที่เพื่อนของพวกเขาได้แนะนำเอาไว้ พอถึงรีสอร์ทตามที่เพื่อนแนะนำเอาไว้นั่นก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าๆ ให้เข้าแล้ว และรีสอร์ทนี้ก็มีทัวร์มาลงเยอะมากทำให้พนักงานที่นั่นค่อนข้างยุ่งกับการรับเขก พวกเขาจึงได้เข้าไปถามหาห้องพักซึ่งตัวพนักงานบอกว่าเหลือเพียงห้องเดียวแล้วตอนนี้และราคาอยู่ที่ 1500 บาท พวกเขาคิดว่ามันแพงเกินไปเลยตัดสินใจที่จะขับรถไปหารีสอร์ทอื่นเพราะคิดว่าข้างหน้าคงจะมีรีสอร์ทอื่นให้เลือกอีกและหวังว่าคงราคาไม่แพงมากนัก พวกเขาจึงขับรถไปตามที่ GPS นำทางต่อไปจนเป็นเวลาเข้าไปแล้วสามทุ่มเกือบจะสี่ทุ่ม พวกเขาได้เห็นป้ายรีสอร์ทที่อยู่ระหว่างทาง จึงได้แวะรีสอร์ทมันเป็นรีสอร์ทที่ค่อนข้างมืดแล้วเข้าไปในซอยอยู่ค่อนข้างลึก แต่ด้วยตอนนั้นเป็นเวลามืดมากแล้วและทั้งตัวคุณพ่อผู้ที่ขับรถก็เริ่มเหนื่อยแล้วจึงได้แวะเข้าไปถาม ซึ่งภายในโรงแรมนั้นคนที่ดูแลเป็นคุณลุงแก่ๆ คนหนึ่ง เค้าบอกว่าที่นี่มีห้องอยู่สองราคาคือ 700 กับ 900 พวกเขาจึงเลือกราคา 700 บาทไป

ในระหว่างที่กำลังเดินเข้าห้องลูกชายของพวกเขาก็ได้พูดขึ้นมาว่า “แม่..หนูกลัวมากเลย” ตัวคุณแม่ก็ไม่ได้คิดอะไรเพียงแค่คิดว่าลูกคงกลัวความมืดเพราะระหว่างทางที่เดินนั้นมันค่อนข้างมืดมาก พอถึงห้องน้องพนักงานที่นำทางก็เปิดไฟให้และพูดขึ้นมาว่า “อยู่ได้นะครับ แอร์เย็นไหมครับ” แล้วก็เดินจากไปซึ่งมันก็ทำให้พวกเขารู้สึกแปลกๆว่าทำไมอยู่ๆถึงพูดแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร หลังจากนั้นผู้เป็นแม่และลูกก็ได้หลับไปโดยที่ไม่ได้สวดมนต์ก่อนนอนเลย คนพ่อก็ยังไม่ได้หลับไปเล่นได้เล่นโทรศัพท์และทำอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนเผลอหลับตามไป แต่พอผ่านไปซักพักคนพ่อก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังขึ้นมาใกล้ๆ โดยที่พูดบางอย่างที่เขาฟังไม่ออก เขาจึงลืมตาและลุกขึ้นมา แต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย จนเขาเอนตัวนอนอีกทีก็เห็นผู้หญิงยืนอยู่บนหัวเตียงโดยที่ยื่นหัวลงมาอยู่ใกล้ๆ กับคนที่เป็นแม่ ลักษณะของผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้หญิงผมยาว ผิวขาวซีดๆ ในตอนที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังชะโงกหัวลงมาหาคนแม่ก็ได้ร้องตะโกนดังลั่นออกมา แต่คนเป็นแม่ก็ไม่ตื่น หลังจากนั้นซักพักเธอก็ค่อยๆ เดินทะลุหายไปในกำแพง พ่อเลยสะกิดคนเป็นแม่ให้ตื่น โดยที่แม่ก็ถามว่ามีอะไร พ่อก็เลยเล่าให้ฟังและตั้งใจจะเช็คเอาท์ออก ซึ่งตอนนั้นก็เป็นเวลาตีห้าแล้ว ในระหว่างที่พวกเขากำลังเก็บของขึ้นรถนั้นพวกเขาก็ได้สังเกตุบรรยากาศรอบๆรีสอร์ท ก็พบว่ามีเพียงแค่ห้องเขาเท่านั้นที่มาพักที่รีสอร์ทแห่งนี้ ในตอนเช้าพวกเขาเลยพากันทำบุญถวายสังฆทานให้วิญญาณตนนั้นที่พวกเขาได้เจอ ซึ่งตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าวิญญาณของผู้หญิงคนนั้นเขาต้องการอะไรกันแน่…
4. ห้องพัก 211 (ระดับความสยอง : 9/10)

เรื่องนี้เกิดขึ้นกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องมาเอาท์ติ้งกับบริษัทของเธอที่จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งในการเอาท์ติ้งนี้เป็นการรวมบริษัทของทุกสาขามารวมกัน การเอาท์ติ้งครั้งนี้ใช้เวลาประมาณสองสามวัน โดยทางบริษัทได้ทำการจัดงานที่รีสอร์ทที่อยู่ติดกับริมแม่น้ำแม่กลอง ลักษณะของตึกที่พักจะเป็นตึก 2 ชั้นและถูกแยกเป็นห้องๆไป ซึ่งเธอนั้นได้นอนกับน้องพนักงานคนหนึ่งที่เธอก็ไม่ได้รู้จักอะไรมากนัก ห้องที่เธอพักอยู่นั้นจะอยู่ชั้นสอง และภายในห้องนั้นจะเป็นเตียงคู่ เวลาที่เปิดประตูมาก็จะเจอห้องน้ำอยู่ทางขวามือเลย และต่อมาจะเป็นเตียงสองเตียง เตียงหนึ่งติดกับห้องน้ำและอีกเตียงติดกับกระจกระเบียง ซึ่งเธอนั้นก็ได้เลือกที่จะนอนเตียงที่ติดกับฝั่งระเบียงและน้องอีกคนนอนที่ติดฝั่งห้องน้ำ ซึ่งในคืนนั้นหลังจากพวกเธอได้ทำกิจกรรมกับทางบริษัทเสร็จก็ได้แยกย้ายกลับห้องนอนกันซึ่งนั่นก็เป็นเวลา 4-5 ทุ่มแล้ว เธอก็ได้ปิดไฟนอนกัน โดยที่เปิดไฟไว้เพียงในห้องน้ำให้ส่องแสงออกมาเท่านั้นพอ ก่อนนอนเธอก็ได้สวดมนต์ตามปกติอย่างที่เธอเคยทำมา
หลังจากที่เธอหลับไปเธอก็ได้ฝันว่า เธอได้นอนอยู่ในห้องนอนที่รีสอร์ทนี้กับน้องคนที่เธอนอนด้วย ภายในฝันนั้นเธอนอนไม่ค่อยหลับเลยได้เรียกน้องที่นอนด้วยให้ตื่น ซึ่งไม่ทันได้เรียกเลย แต่น้องคนนั้นก็ลืมตาขึ้นมาและยิ้มกลับมาให้เธอและพูดออกมาว่า “นอนไม่หลับเหรอ” ในฝันเธอก็บอกว่าใช่ น้องเลยยื่นเหรียญพระมาให้ โดยที่เธอก็รับพระมาจากน้องและก็กำพระไว้และนอนต่อไปในฝัน ซึ่งหลังจากนั้นสักพักเธอก็ตื่นขึ้นมาเพราะว่าอยากเข้าห้องน้ำ ตัวเธอนั้นก็ตกใจอยู่ซักพักว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้นั้นฝันเหรอ หลังจากที่เธอเข้าห้องน้ำเสร็จและกลับมานอนต่อ หลังจากหัวถึงหมอนเธอก็ได้ยินเสียงคนกรีดเล็บกับที่นอนฝั่งหัวเตียงของเธอ ซึ่งเสียงกรีดเล็บนั้นอยู่ทางหัวเตียงทางขวาของเธอ มันเป็นเสียงที่อยู่ใกล้หูของเธอมากๆ เสียงดัง “แควก..แควก” อย่างช้าๆ มันทำให้เธอรู้สึกขนลุกและตัวแข็งไปหมด เธอพยายามที่จะไม่สนใจและนอนต่อ จนหลังจากนั้นเสียงมันก็ดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ “แควกๆๆๆๆๆ” มันดังจะเสียดแก้วหูของเธอมาก หลังจากนั้นเธอก็ดิ้นหลุดออกมาจากตรงนั้น พอหลังจากนั้นเธอก็ได้ปลุกน้องที่นอนอยู่ในห้องเพื่อที่จะบอกว่า “ขอเปิดทีวีดูหน่อยนะพี่นอนไม่หลับ” และหลังจากนั้นเธอก็เพลียและตื่นมาอีกทีตอนเช้า

เช้าวันถัดมาเธอจึงเล่าเรื่องนี้ให้น้องที่นอนด้วยฟัง และน้องก็บอกว่าเมื่อคืนน้องก็ฝันถึงอะไรประมาณนี้เหมือนกัน โดยที่ในฝันของน้องนั้น คือน้องตื่นมาในฝันและได้เห็นว่าเธอ (ผู้เล่า)ได้นั่งคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่บนเตียง และหลังจากนั้นน้องก็เห็นคุณตากับคุณยายมายืนชะโงกมองเธออยู่ตรงหน้าห้องน้ำโดยร่างของคุณตากับคุณยายนั้นค่อนข้างมืดเพราะย้อนแสงกับไฟห้องน้ำ ซึ่งตอนนั้นทำให้น้องรู้แล้วว่านี่น่าจะไม่ใช่คน น้องจึงพูดออกมาว่า “อย่าทำอะไรหนูเลย เดี่ยวจะทำบุญไปให้” และหลังจากนั้นสองคนนั้นก็ได้หายไป ซึ่งหลังจากนั้นเธอทั้งสองก็ได้ไปไหว้ตรงเจ้าที่ที่อยู่หน้ารีสอร์ทแห่งนี้ และที่แปลกคือรีสอร์ทแห่งนี้มีศาลเจ้าแม่อะไรซํกอย่างอยู่ด้วย มีชุดไทยแขวนอยู่หน้าศาลอยู่จำนวนมาก ซึ่งหลังจากที่เธอได้ไหว้ทุกอย่างเรียบร้อย หลังจากคืนนั้นเธอก็ไม่ได้เจอหรือฝันถึงอะไรอีกเลย
5. ตำนานคลองหมาหอนและคลองผีหลอก (ระดับความสยอง : 9/10)

ในจังหวัดสมุทรสงครามมีคลองที่ชื่อแปลกๆ อยู่ที่ทำให้คนที่ไม่ได้อยู่ในจังหวัดนี้หรือนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวในจังหวัดนี้อาจจะรู้สึกแปลกใจกับชื่อของคลองก็เป็นได้ ซึ่งชื่อที่แปลกที่ว่านั่นก็คือ“คลองสุนัขหอน” ซึ่งชาวบ้านบางคนจะเรียกว่าคลองหมาหอนและ”คลองผีหลอก” ซึ่งเคยมีเรื่องราวเกี่ยวกับคลองทั้งสองคลองนี้มาอย่างช้านาน ทั้งจากชาวบ้านเก่าแก่ที่อยู่ในจังหวัดนั้นและตำราทางประวัติศาสตร์ต่างพูดถึงที่มาของชื่อคลองที่คล้องจองกัน ซึ่งในสมัยก่อนนั้นการเดินทางไม่ได้สะดวกสบายเหมือนปัจจุบัน ชาวบ้านในยุคนั้นต้องมีการเดินเท้า นั่งเกวียนหรือถ้าดีหน่อยก็อาศัยพายเรือเอา บางทีเวลาจะไปไหนก็อาจจะต้องเดินทางข้ามวันข้ามคืนกว่าจะไปถึง
เคยมีชาวบ้านเล่ากันว่าเวลาที่พายเรือในบริเวณคลองหมาหอนทีไร พวกเขาก็มักจะได้ยินเสียงหมาหอนตลอดทางในการพายเรือในคลองนี้ เสียงหมาหอนนั้นอยู่ในท้องไร่คันนา ซึ่งในสมัยก่อนนั้นบริเวณนั้นมีเพียงแค่ท้องไร่คันนาไม่ได้มีบ้านเรือนที่มีคนอาศัยอยู่ แล้วทำไมถึงมีเสียงหมาหอนออกมาได้หล่ะ ซึ่งพอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมามากๆ มันทำให้คนที่พายเรือเป็นประจำนั้นเริ่มรู้สึกกลัวที่ต้องพายเรือผ่านทางลำคลองแห่งนี้ในช่วงเวลากลางคืน บางคนก็ว่าเวลาที่จอดพักเรือในบริเวณคลองแห่งนี้ก็มักจะได้ยินเสียงพึมพำของคนกำลังคุยกัน เสียงนั้นแววมาตลอดทางคลองซึ่งบริเวณนั้นไม่มีบ้านเรือนอยู่เลยสักหลัง จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายปี ก็เริ่มมีชาวบ้านจับจองพื้นที่บริเวณข้างคลองและก็ได้สร้างบ้านเรือนบริเวณริมคลองแห่งนี้

อีกเรื่องหนึ่งที่มีการเล่าสืบทอดกันมานั้นก็คือ”กระสือ”ที่อยู่อาศัยอยู่แถวนั้น ในบางคืนคนที่พายเรือจะได้เห็นลำแสงวาบๆ ลอยขนานกับลำน้ำมา ซึ่งมีหลายคนที่ต่างพูดกันว่าพวกเขาถึงกับตาค้าง เพราะสิ่งที่พวกเขาเห็นนั่นคือดวงไฟสีช้ำเลือดช้ำหนอง ที่มีใบหน้าของผู้หญิงแก่ที่แลบลิ้นไปมาอยู่ด้วย
และอีกเรื่องหนึ่งที่ถ้าหากถามคนเฒ่าคนแก่ที่เคยอาศัยอยู่บริเวณนั้นคงอาจจะรู้เรื่องนี้ก็ได้ นั่นก็คือตรงคลองหมาหอนจะมีบ้านร้างอยู่หลังนึงซึ่งว่ากันว่ามี”วิญญาณของผู้หญิงตายทั้งกลม”อาศัยอยู่ หากมีใครพายเรือผ่านบ้านหลังนั้นในตอนดึกๆก็มักจะเจอดีกันตลอด บางคนก็จะได้ยินเสียงเรียกชื่อตอนกำลังพายผ่านบ้าน ซึ่งพอหันไปดูก้จะได้ยินเสียงต้นตอเป็นผู้หญิงยืนอุ้มลูกอยู่บนชานบ้านร้าง บางรายก็เล่าว่า พอพายเรือผ่านบ้านหลังนี้ก็จะได้ยินเสียงเพลงกล่อมเด็กหรือไม่ก็เสียงโอ๋ลูกดังแววออกมาจากตัวบ้าน ซึ่งในเวลานั้นทำเอาคลองหมาหอนเป็นคลองที่น่ากลัวที่สุดในสายคลองเลย ซึ่งในปัจจุบันนั้นความน่ากลัวก็ได้น้อยลงเพราะมีการทำถนนพระราม 2 ตัดผ่านและได้มีความเจริญเข้ามาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จังหวัดที่ดูจากภายนอกแล้วอาจจะไม่มีอะไรมาก แต่พอได้อ่าน 5 ตำนานเรื่องเล่าสยองจังหวัดสมุทรสงคราม ก็ได้รู้เลยนะครับว่าจังหวัดสมุทรสงครามนี้ก็น่ากลัวไม่แพ้จังหวัดอื่นๆเลย ส่วนใครที่ขับรถผ่านจังหวัดนี้ ก็อย่าลืมที่จะแวะไปดูหรือไปไหว้พระที่จังหวัดนี้กันนะครับ บรัยบายย…
ที่มา : www.silpa-mag.com, www.atlantide-films.net, horrorthai.com, pantip.com, www.facebook.com