เรื่องเล่าน่ากลัวครั้งนี้เกิดขึ้นกับผู้ชายคนหนึ่ง ในช่วงที่เขานั้นยังเป็นเด็ก เขาและน้าชายมักจะหนีพ่อแม่ไปจับนกอยู่เสมอ เพราะน้าชายเป็นคนบ้านก ในสมัยนั้นจะมีโรงอิฐที่อยู่ตรงแถวบริเวณบ้านของเขา เมื่อเขาและน้าจับนกได้มากพอสมควรแล้ว ก็จะมาขอน้ำกินที่โรงอิฐเสมอเป็นประจำทุกครั้ง นานๆเข้าความสนิทสนมก็เกิดขึ้นระหว่างเขากับน้า และครอบครัวของลุงลอยที่เป็นเจ้าของโรงอิฐ ซึ่งแกมีเมียและลูกอีก 4 คน แกเป็นคนนิสัยที่ดีมาก หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ วันทั้งวันแกไม่ค่อยมีเวลาว่าง เพราะวันๆอยู่กับการทำอิฐเพราะมีโรงอิฐถึง 2 โรง และมีลูกจ้างอีกหลายคน และนี่ก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ กับเรื่อง “ไม่เอาอีกแล้ว” ถ้าอยากรู้แล้วว่าเป็นอย่างไร ขอให้อ่านกันให้สนุกนะครับ…
วันหนึ่งเมื่อเขากับน้าจับนกได้มากแล้ว ก็เลยมาบ้านลุงลอยเพื่อขอกินน้ำ เมื่อกินเสร็จเราทั้งสองก็ถามหาลุงลอย เพราะมากินน้ำไม่เห็นหน้าแก ลูกแกบอกว่าพ่อได้เดินไปหลังโรงอิฐ ไปนอนเล่นใต้ต้นไม้ เมื่อได้รู้แบบนั้น เขากับน้าก็เดินตามมาหลังโรงอิฐและได้เห็นลุงลอยนอนเล่นอยู่จริงๆ ทันทีที่เห็นเขาได้เห็นจึงถูกชวนให้มานั่งที่แคร่ด้วยความอารมณ์ดี และวันนั้นอากาศไม่ร้อนลมพัดผ่านตลอดเวลา จึงทำให้การพูดคุยกันสนุกพอสมควร ได้มีการคุยกันว่าอีก 2 วันจะมีหนังตะลุงแข่งกันที่หลังสถานีรถไฟ ลุงไม่ไปดูเหรอ ลุงลอยได้ตอบมาว่า ” โอ๊ย ลุงไม่ไปหรอก ลุงเช็ดจริงๆ และคิดว่าชาตินี้จะไม่ดูแล้ว” ได้ยินแบบนั้นเขาจึงได้สงสัยก็เลยถามว่าไม่ชอบหรืออย่างไร ลุงลอยตอบว่า “เมื่อก่อนนี้ลุงชอบมาก แต่โดนเข้าระยะหลังไม่เอาแล้ว ลุงบอกตรงๆ ว่ากลัวจริงๆ”
ในวันนั้นลุงลอยก็เล่าเรื่องในอดีตที่ผ่านมาให้ เราทั้งสองฟังว่า ใน สมัยแกยังหนุ่มยังไม่มีเมีย แกกับเพื่อน 3 คน ได้ซื้อเรือลำหนึ่งและ ในสมัยนั้นก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี การคมนาคมทางบกในสมัย นั้นไม่สะดวก สะดวกแต่ทางน้ำ เมื่อได้ซื้อเรือแล้วก็ได้ทํามาค้าขายกับตำบลต่างๆ การค้าขายเจริญขึ้นเรื่อยๆ การล่องไปตามสายน้ำก็ไม่ได้ลำบากอะไร เพราะไปที่ไหนก็นอนที่นั่น จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่พายเรือฝ่าความมืดไปเรื่อยๆ เพราะบริเวณที่ผ่านมาตามลำน้ำกลับไม่มีบ้านคน และที่แปลกที่สุดคือลำน้ำสายนั้นเต็มไปด้วยหมอกควัน ที่แปลกไปกว่านั้น เท่าที่สังเกตดูเหมือนลำน้ำสายนั้นไม่มีเรือวิ่งผ่านมาเลย ทั้งๆที่เคยนำเรือล่องมาหลายเที่ยว จนกระทั่งผ่านไปสักพักหลายชั่วโมงก็ยังหาหมู่บ้านคนไม่ได้ มองดูท้องฟ้าก็เห็นมีเมฆฝนดำน่ากลัวมาแต่ไกล หลังจากนั้นได้ไม่นานฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ลมก็แรงจนไม่สามารถบังคับเรือได้ ทั้งสามก็ปล่อยให้เรือลอยไปตามน้ำ
จนกระทั่งดึก ทันใดนั้นเขากับเพื่อนก็เห็นดวงไฟ มากมายก่ายกองข้างหน้า ตอนนั้นเขาดีใจจนน้ำตาไหลเพราะคิดว่าเป็นหมู่บ้าน เขากับเพื่อนทั้งหมดจึงรีบพายเรือไปหมู่บ้านที่เห็นแสงไฟข้างหน้า แต่ที่ไหนได้แสงไฟที่เห็น นั้นไม่ใช่หมู่บ้าน แต่กลับเป็นวัดแห่งหนึ่งซึ่งในขณะนั้นมีผู้คนพลุกพล่านไปหมด เพราะที่นั่นมีงานวัด ทั้งสามนำเรือเทียบท่าแล้วก็รีบไปหาอะไรกิน เพราะทั้งหมดไม่ได้กินอะไรเลย เมื่อจัดการกินอาหารเรียบร้อยแล้ว ก็เที่ยวงานวัดต่อ ปรากฏว่าที่งานวัดนั้นเขามีการแข่งขันหนังตะลุง 2 โรง ซึ่งเวลานั้นทั้ง 2 คณะ กำลังประชันกันสุดเหวี่ยง เมื่อยืนดูจนเมื่อยแล้ว ทั้งสามก็เดินมาพักศาลาภายในวัด การแข่งขันก็ยังดำเนินต่อไป พอแข่งไปได้ชั่วครู่ เสียงของการเล่นหนังตะลุงก็เริ่มมีทีท่าที่เปลี่ยนไป จากเสียงพากย์ของตัวละครของหนังตะลุง ได้เหมือนเปลี่ยนกลายเป็นเสียงของคนที่กำลังโวกแหวกโวยวาย มันเป็นเสียงที่เถียงกันไปเถียงกันมา และหลังจากนั้นไปอีก ก็เริ่มด้วยเสียงเหมือนของการด่ากันด้วยคำพูดที่ไม่น่าฟังเอาเสียเลย
ในตอนนั้นเขากับเพื่อนก็เริ่มคิดแล้วว่ามันเริ่มมีอะไรที่แปลกไป ซึ่งต่อมานั้นเสียงมันก็ได้กลายเป็นการร้องกริ๊ดดังขึ้นมาออกจากลำโพง มันเป็นเสียงที่ดังมาก ดังจนพวกเขาแปลกใจว่าทำไมคนในงานวัดต่างไม่รู้สึกกลัวกันเลย และยังคงทำตัวกันปกติเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเสียงดังนั้นมันได้กลายเป็นเสียงกริ๊ดร้องอย่างดัง มันมาพร้อมกับเสียงร้องให้ดังขึ้นมา พอพวกเขาได้ยินแบบนั้นก็เริ่มรู้แล้วว่าทุกอย่างมันไม่ปกติ จึงได้รีบพากันออกจากวัดแห่งนี้และรีบพายเรือออกจากวัดไปอย่างโดยเร็ว และแน่นอนว่าพอเขาหันกลับไปดูที่วัดแห่งนี้อีกครั้งพอได้พายออกมาได้ระยะนึงแล้ว เขาก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น เพราะว่าวัดที่เขากับเพื่อนได้เข้าไปนั้น มันเป็นวัดร้างที่ไม่มีแสง ไม่มีคน ไม่มีอะไรเลย สิ่งที่เห็นได้อย่างเดียวนั้นก็คือความว่างเปล่าที่น่ากลัว นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ลุงลอยนั้นไม่กล้าที่จะไปงานวัดเพื่อดูหนังตะลุงอีกเลยหลังจากนั้น
และนี่ก็คือทั้งหมดของเรื่อง ไม่เอาอีกแล้ว เป็นเหตุการณ์ที่หากใครได้เจอเข้ากับตัวแล้วนั้นก็คงไม่อยากจะพบเจอเป็นอีกอย่างแน่นอน มันคงเป็นฝันร้ายที่ทำให้เขาไม่กล้าที่จะไปที่ไหนมาไหนเป็นอีกอย่างแน่…