สำหรับเรื่องเล่าสยองขวัญในครั้งนี้นั้น แอดจะนำเสนอเรื่องราวสยองขวัญที่มาในตีมของอุบัติเหตุกันนะครับ อย่างที่ใครๆก็ต่างรู้กันว่าการเกิดอุบัติเหตุในสถานที่ต่างๆหรืออุบัติเหตุจากการขับรถหรือประมาทก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วอุบัติเหตุเหล่านั้นจะนำมาซึ่งความตาย และส่วนใหญ่แล้วความตายเหล่านั้นเราจะเรียกกันว่าการตายโหงกัน โดยเรื่องเล่าสยองขวัญที่เกี่ยวกับอุบัติเหตุในครั้งนี้นั้นแอดได้นำเรื่องของกลุ่มเพื่อนทั้งหมด 3 คนที่พวกเขานั้นจับกลุ่มกันเพื่อที่จะไปที่ต่างจังหวัดกัน แล้วระหว่างที่พวกเขาขับไปกันนั้นพวกเขาก็ต้องเจอกับสิ่งแปลกประหลาดกันในครั้งนี้ กับเรื่อง โค้งสยอง ถ้าอยากรู้แล้วว่าเรื่องต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ขอให้อ่านกันให้สนุกนะครับ บรื้อ…
โดยกลุ่มเพื่อนสามคนนี้ประกอบไปด้วย นัท ชัย เดท เป็นกลุ่มเพื่อนผู้ชายทั้งหมด ที่รู้จักกันและเติบโตมาด้วยกันที่ทางภาคอีสาน พอหลังจากเรียนจบและทั้งสามจึงได้มาทำงานที่กรุงเทพด้วยกันทั้งหมด ซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่ว่าพวกเขาทั้งสามคนนั้นอยู่ด้วยกันมาตลอด และพอถึงช่วงหน้าร้อนทั้งสามคนจึงได้ตกลงกันว่าจะขับรถไปเที่ยวและก็กลับบ้านที่อยู่ทางภาคอีสานด้วย การขับรถไปนั้นจะมีนัทเป็นคนขับรถให้และมี อีกคนนึงก็นั่งด้านข้างและอีกคนนึงนั่งอยู่ข้างหลัง พอขับรถกันไปมาตั้งแต่ช่วงเที่ยง พอจะถึงทางที่เข้าจังหวัดบ้านเกิดของพวกเขา พวกเขาก็ได้แวะปั้มกันและปรากฏว่าบังเอิญได้มีหนึ่งในกลุ่มได้ไปเห็นหนังสือพิมที่มีหัวข้อที่เขียนเอาไว้ว่า “โค้งร้อยศพ” พวกเขาทั้งสามคนจึงพูดกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ และก็ได้พูดกันว่าทางกลับบ้านของพวกเขาก็มีโค้งที่เรียนกันว่าโค้งร้อยศพเหมือนกัน เป็นโค้งที่มีคนตายกันเยอะมาก ซึ่งระหว่างทางกลับเดี่ยวพวกเขาก็ต้องผ่านกันทางนี้ พวกเขาก็พูดกันอย่างสนุกสนานแล้วเพื่อนคนนึงก็พูดขึ้นมาว่า “แล้วเราจะผ่านกันไหมนะ” เพื่อนอีกคนก็พูดขึ้นมาว่า “อย่าทักอะไรมั่วๆ นี่มันกลางคืนแล้วน่ากลัวจะตาย” แต่เพื่อนที่พูดก็บอกไม่ได้คิดอะไรมากคุยกันขำๆอย่าไปซีเรียสเลย หลังจากนั้นก็ได้ออกจากปั้มเดินทางต่อ
พอขับรถต่อไปได้สักพักนัทที่เป็นคนขับรถก็รู้สึกว่าถนนเส้นนี้มันมีอะไรเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะ เหมือนว่าจะมีการพัฒนาหรือปรับปรุงทำให้เขาไม่คุ้นชินกับถนนเท่าไหร่ พอขับไปถึงส่วนโค้งของถนน เพื่อนที่ทักก็พูดขึ้นมาว่านี่ไงเส้นโค้งร้อยศพที่คุยกัน นี่เราก็ผ่านมาได้แล้วไม่เห็นต้องมีอะไรต้องกลัวเลย นัทก็ได้ตอบกลับว่าดีแล้วที่ไม่มีอะไรพวกเราจะได้ถึงบ้านกันโดยดี แต่แล้วไม่ทันไร เพื่อนของเขาก็ต่างเงียบกันไปแบบไม่มีเสียงตอบกลับกันมาเลย เขาก็รู้สึกแปลกๆที่ว่าทำไมจู่ๆเพื่อนของเขาถึงเงียบไป เขาจึงได้พยายามทักถามเพื่อนว่าเป็นอะไรทำไมไม่ตอบเขา อยู่ๆเงียบไปแบบนี้มันน่ากลัวนะ เขาพยายามที่จะถาม ซักถามไปซักถามมาเพื่อนของเขาก็ตอบกลับมาว่า ระหว่างที่กำลังพูดกันอยู่นั้น “เขาได้เห็นเหมือนคนกำลังยืนอยู่ตรงข้างทาง” เขาจึงได้พูดขึ้นมาว่า จะบ้าเหรอใครจะมายืนอยู่ตรงข้างถนนป่านี้ มันมืดมากแล้วคิดมากไปหรือเปล่า เพื่อนของเขาก็ตอบกลับมาว่า เพื่อนของเขาเห็นจริงๆและที่สำคัญนั้นเห็นมากกว่าคนเดียวด้วย เพราะที่เขาเห็นนั้นมันเยอะมากเป็นกลุ่มคนกำลังยืนอยู่
เขาจึงบอกเพื่อนว่าอาจจะตาฝาดไปก็ได้ ไม่ก็อาจจะเป็นกลุ่มคนที่รวมตัวกันเพื่อที่จะนั่งรถกลับบ้านหรือเปล่า อย่าไปคิดมากเพราะนี่เราก็ผ่านโค้งน่ากลัวมาแล้วก็คงไม่มีอะไรหรอก พอเขาขับรถไปได้สักพักหนึ่ง เขาก็ได้ขับรถไปเจออีกโค้งนึงและมันทำให้เขารู้สึกว่าเขานั้นรู้สึกคุ้นๆทางขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะตัวเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าจริงๆแล้วโค้งที่พวกเขาขับผ่านมาก่อนหน้านี้นั้นมันไม่ใช่โค้งร้อยศพ แต่มันคือโค้งอันนี้ต่างหาก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอยากจะบอกเพื่อนของเขาเพราะกลัวว่าเพื่อนของเขาจะกลัวกัน และก็ได้ขับต่อไป แต่แล้วพอขับไปได้เรื่อยๆ เพื่อนของเขาที่นั่งข้างๆเขาก็ได้ตะโกนขึ้นมาว่า เห้ย!! เพื่อนของเขาตะโกนออกมาด้วยเสียงดังอย่างมาก เขาจึงได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อนของเขาก็ได้รีบพูดตอบกลับมาว่า ขับดีๆใจเย็นๆตั้งสติเอาไว้ และขับต่อไป เดี่ยวจะเล่าให้ฟังในทีหลัง แต่ไม่ทันจะพูดจบ เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างหลังก็ตะโกนออกมาด้วยเช่นกัน มันทำให้เขาพอจะรู้แล้วว่ามันคืออะไรกันแน่ ในตอนนั้นเขาก็ขับรถไปเรื่อยๆโดยพยายามที่จะไม่ขับเร็วเพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นมา
พอขับไปไปจนรอดฝั่งแล้ว พวกเขาก็ได้ไปแวะจอดที่บริเวณปั้มระหว่างทางใหม่และเขาก็ได้ถามเพื่อนของเขาว่า พวกเขาเห็นอะไรกัน เพื่อนของเขาที่นั่งข้างๆก็บอกว่า เขาได้เห็นกลุ่มของคนยืนอยู่ข้างทางอีกแล้ว แต่ครั้งนี้กลุ่มๆนั้นยืนโบกมือเหมือนจะพยายามเรียกให้รถหยุดด้วย พอเพื่อนข้างๆพูดเสร็จ เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างหลังก็บอกว่า เขาก็ได้เห็นแบบนั้นเหมือนกันจึงทำให้รู้ว่านั่นคงจะไม่ใช่คนอย่างแน่นอน ในคืนนั้นหลังจากนั้นเขากับเพื่อนก็ตัดสินใจจอดรถนอนในปั้มกันจนถึงเช้าและค่อยเดินทางกันต่อเพราะกลัวว่าถ้าขับรถต่อไปอาจจะเจอกับโค้งสยองแบบนั้นอีกเป็นแน่…