เรื่องเล่าสยองขวัญนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดชัยนาท มันเป็นสถานที่บนถนนที่เขาเรียกกันว่าแยกวัดใจ โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นมากับผู้หญิงคนหนึ่งที่ตอนนั้นเธอมีอายุเพียงแค่ 10 ขวบเพียงเท่านั้น ตัวของเธอนั้นเกิดที่กทมและปัจจุบันก็ทำงานอยู่ที่กทมเลย แต่ตอนนั้นตอนที่เธอได้เกิดได้ไปย้ายอยู่จังหวัดชัยนาทชั่วคราว ซึ่งเธอต้องอยู่กับคุณยายของเธอ บริเวณที่เธออยู่นั้นจะอยู่ตรงทางเชื่อมจังหวัดชัยนาทและนครสวรรค์ นี่จึงได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องสยองขวัญในครั้งนี้ กับเรื่อง “แยกอาธรรพ์” ถ้าอยากอ่านให้สนุก ขอให้ทุกคนตั้งใจกันอ่านนะครับ บรื้อ…
บ้านที่เธออยู่กับยายของเธอนั้นจะเป็นบ้านที่อยู่ติดกับถนน ด้วยความที่หน้าบ้านที่เธออยู่นั้นเป็นสี่แยกวัดใจที่ไม่มีไฟแดงหรืออะไรเลยที่จะทำให้รถชะลอเพื่อหยุด ซึ่งตั้งแต่เกิดเหตุการณ์มาจนถึงปัจจุบันนี้นั้น แยกที่เกิดเหตุนี้ก็ยังไม่มีไฟแดงอยู่ดีและแน่นอนว่าแยกนี้นั้นมักจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ เดือนนึงก็ต้องมีอุบัติเหตุอย่างน้อยครั้งนึง บางคนถ้าไม่บาดเจ็บสาหัสก็ถึงขั้นเสียชีวิตก็มี แต่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่แล้วนั้นจะเสียชีวิตทุกราย แล้วศพของผู้เสียชีวิตนั้นก็มักจะกระเด็นเข้ามาบ้านของยายของเธออยู่เป็นประจำเลย ระหว่างที่เธออยู่บ้านนั้นเธอมักจะเห็นผู้คนมาทำพิธีอันเชิญดวงวิญญาณกันเป็นประจำ เธอเห็นแบบนั้นมาตั้งแต่เธอยังเด็กและโตมาก็ยังคงมีอยู่ เพราะว่าจุดนี้เกิดอุบัติบ่อยมากจริงๆ
แน่นอนว่าเธอมักจะได้ยินเรื่องเล่าจากคนรอบตัวเกี่ยวกับแยกนี้มากันบ่อยๆ โดยที่ตัวเธอนั้นมักจะได้ยินว่าใครหลายๆคนที่ขับรถผ่านตรงบริเวณแยกนี้ก็มักจะเห็นคนมายืนอยู่ตรงบริเวณนี้พร้อมกับยกมือโบกเรียกให้รถจอด บางทีก็ยืนร้องไห้ให้เห็น แต่หากได้มองมาที่ร่างนั้นดีๆแล้วนั้น ร่างกายของคนเหล่านี้ที่เห็นว่ายืนร้องไห้หรือโบกมือกันนี้ มักจะเต็มไปด้วยเลือดเต็มตัวกันทั้งนั้น ซึ่งมันได้สร้างความหวาดกลัวแก่คนที่ขับรถผ่านตรงบริเวณนั้น ทำให้เวลาหลังเที่ยงคืนพวกเขาต่างไม่กล้าที่จะออกกันมาเลย โดยคนแถวนั้นมักจะบอกกันว่าไม่ให้ออกไปไหนมาไหนกันในเวลากลางคืนเพราะมันน่ากลัว แต่ก็มักจะมีคนอยากจะลองดีโดยการลองกลับบ้านกลางคืนแล้วขับรถผ่านดู ซึ่งเคยมีคนขับรถผ่านแล้วเห็นผู้หญิงยืนอยู่ จึงได้ตั้งใจจะขับรถไปใกล้ๆ ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นตัวของเธอเต็มไปด้วยเลือด คนเหล่านั้นจะพากันหนีกันแบบไม่คิดชีวิตเลย
ในตอนที่เธออายุ 10 ขวบแล้วได้อยู่จังหวัดชัยนาท วันหนึ่งที่เธอกำลังจะเลิกเรียนแล้วต้องกลับบ้าน ระหว่างทางกลับบ้านนั้นพอเธอได้เดินทางมาเธอถึงบ้าน เธอได้สังเกตเห็นว่าหน้าบ้านของบ้านยายเธอมีเศษกระจกอยู่เต็มไปหมดเลย พอเห็นแบบนั้นเธอเองก็รู้ทันทีว่าก่อนหน้านี้ได้เกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ครั้งนี้มันมีอะไรแปลกๆ เพราะบรรยากาศรอบๆบ้านนั้นมันมีอะไรไม่ปกติ พอเธอได้เดินเข้าไปในบ้าน ยายของเธอก็ได้บอกให้เธอรีบเปลี่ยนชุด แล้วไปงานศพ ยายที่อยู่ข้างบ้านของเธอนี่เอง ซึ่งยายคนนี้ได้โดนรถชนและเพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นานที่หน้าบ้านของเธอนี่เอง การตายครั้งนี้นั้นมีถึงสองศพ นั่นก็คือยายข้างๆบ้านกับหลานของแก ในช่วงเวลางานศพของยายหลานคู่นี้ เธอก็ได้ไปเข้าร่วมงานศพอยู่ทุกวัน ซึ่งทุกวันที่เธอได้เข้าร่วมงานศพนั้น เธอได้รู้สึกแปลกๆตลอดเวลา
หลังจากที่ผ่านวันเผาศพเรียบร้อย ทุกอย่างก็ควรจะเป็นปกติดี แต่แล้ววันหนึ่งวันที่เธอได้นอนกับยายอยู่ที่บ้านนั้น อยู่ๆเธอก็มีความรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของคนคุยกัน มันเป็นเสียงที่คุยกันแบบเบาๆ จนคล้ายกับการกระซิบเลยก็ว่าได้ เสียงนี้ดังออกมาจากนอกบ้าน ด้วยความสงสัยเธอจึงตั้งใจจะลุกเพื่อขึ้นไปดูหน้าบ้านว่ามีใครอยู่หน้าบ้านรึเปล่า แต่ไม่ทันที่เธอจะได้ลุกเดินไป ยายของเธอก็ได้กระชากตัวเธอลงมานอนต่อพร้อมกับทำเสียง จุ๊ๆ แบบให้เธอเงียบไม่ต้องไปไหน เธอก็รู้สึกงง แล้วยายเธอก็นอนกอดตัวเธออย่างแน่น เธอก็ได้แต่นอนฟังเสียงกระซิบนั้นคุยกันไป เวลาผ่านไปได้สักพักเสียงๆนั้นก็ได้หายไป และเธอก็นอนต่อไป จนผ่านไปสักพักเธอก็ได้ยินแบบเดิม แต่มันเป็นเสียงของคนเดียวไปมาอยู่ตรงนั้น และก็พูดเหมือนกำลังหาของอะไรบางอย่าง แล้วเธอก็กำลังจะลุกไปดู แต่ยายก็ห้ามเธอทันที และขู่ว่าจะตีหากเธอลุกขึ้นไป ซึ่งเธอก็ไม่กล้าที่จะลุกขึ้นไปทันที และก็ได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้จน แต่แล้วเสียงนั้นก็เริ่มกลายเป็นเสียงแปลกๆที่ดังขึ้นมาเรื่อยๆ มันกลายเป็นเสียงเหมือนกับร้องด้วยความเจ็บปวดพร้อมกัน ในตอนนั้นเธอเริ่มรู้สึกกลัวและได้หันไปกอดยายของเธอจนถึงตอนเช้าที่เธอรู้ตัวเองที
—
พอตอนเช้าเธอก็ได้ถามยายของเธอเรื่องเมื่อคืน ซึ่งยายของเธอก็ได้อธิบายว่านั่นเป็นวิญญาณของยายกับหลานที่อยู่บ้านข้างๆนี่แหละ เพราะเป็นการตายโหง ทำให้วิญญาณของทั้งสองไม่ได้ไปไหน คงวนเวียนอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดอายุขัยของพวกเขานั่นเอง ซึ่งทุกวันนี้แยกอาธรรพ์นี้ก็ยังคงมีอุบัติเห็นให้เห็นอยู่ทุกเดือน แต่เธอก็ไม่ได้อยู่ตรงบ้านหลังนั้นแล้ว แต่มันก็คงเป็นเรื่องที่เธอคงไม่ลืมไปตลอดกาล…