เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเพื่อนของเธอ หลายวันมานี้เพื่อนของเธอที่ชื่อว่า “เพ็ญ” ดูไม่ค่อยสดใสเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา เธอจึงตัดสินใจถามดูว่าไม่สบายหรือเปล่า หรือเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ แต่ดูท่าทางเธอคงจะไม่ได้คำตอบมาได้ง่ายๆ เพราะเพ็ญไม่ตอบอะไรเธอเลยสักคำ เพียงบอกว่าเดี๋ยวเล่าให้ฟังทีหลัง หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันเพ็ญก็มาหาเธออีกครั้ง แต่ดูสภาพเธอตอนนี้ช่างน่าสงสารมากกว่าวันก่อนที่เธอได้เห็นเพื่อนเธอเสียอีก มันต้องเกิดจากวันนั้นวันที่เธอไม่สบายใจเป็นแน่เธอคิดแบบนั้น เธอจึงถามไปว่า “เพ็ญเป็นอะไรไปรึเปล่า ใบหน้าเธอไม่ค่อยดีเลยบอกฉันมาได้นะ” เธอจึงได้รู้มาว่า ที่เพื่อนของเธอนั้นมีใบหน้าที่ไม่ดีก็เป็นเพราะว่าทุกวันนี้เพื่อนของเธอฝันไม่ค่อยดีเลย มันเป็นความฝันที่ค่อยๆคล้ายกับความเป็นจริงมากขึ้นทุกที มันอาจเป็นเพราะเพื่อนของเธอคิดมากไปเอง แต่มันก็เป็นฝันที่เหมือนเป็นการเตือนให้เรารู้อะไรสักอย่าง และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้กับเรื่อง “แค่ปากไว” ถ้าอยากรู้แล้วว่าเป็นอย่างไร ขอให้อ่านกันให้สนุกนะครับ
ความฝันของเพ็ญคือเธอมักฝันว่ามีคนคอยเรียกชื่ออาของเพ็ญและภาพที่เธอเห็นคือเธอกำลังเดินไปตามเสียงนั้น แต่เสียงนั้นก็หายไปทันทีและพอหลังจากฝันคืนแรกจบลง คืนต่อไปเพ็ญก็ฝันอีกครั้งในรูปแบบเดิม พอตื่นขึ้นมาก็พบกับความจริงที่ต้องรู้สึกแปลกใจ มันทำให้เพ็ญสะกิดใจอยู่อย่างไม่น้อย เพราะระยะนี้อาของเพ็ญมีอาการป่วยบ่อย อามีอาการปวดเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว นี่ก็เข้าวันที่ 3 แล้วที่อาเป็นแต่ยังไม่ดีขึ้นเลย และเหมือนว่าอาการจะค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆด้วย พอได้ยินแบบนั้นเธอจึงเข้าไปที่บ้านของเพ็ญเพื่อไปดูอาการของอา เพราะทุกทีที่เธอได้ไปเที่ยวที่บ้านของเพ็ญก็มักจะเห็นอาของเพ็ญที่ร่าเริงมีความสุข และทำไมตอนนี้ถึงมีอาการที่ดูป่วยลงแบบนี้ได้ เธอจึงเป็นคนอาสาพาอาไปหาหมอที่โรงพยาบาล แต่ว่าก่อนที่จะไปหาหมอ อาของเพ็ญได้ขอแวะไปทำสังฆทานที่วัดใกล้บ้าน ระหว่างทางที่กำลังจะไปวัด อาของเพ็ญที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังรถกร้องกรีดเสียงดัง ทำให้เธอกับเพ็ญตกใจต้องหยุดรถแล้วทำการปลอบสติของอาของเพ็ญให้หายจากอาการไม่มีสติ เมื่อทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย เหงื่อที่อาบตามตัวของอาและใบหน้าที่ดูไม่มีเรียวแรงค่อยๆมีอาการดีขึ้น
เพ็ญจึงถามอาของเธอว่าเป็นอะไรไปเมื่อตะกี้ แต่อาของเพ็ญก็นิ่งเงียบและบอกให้ขับรถไปที่วัดต่อเถอะเดี๋ยวจะสายเอา และเพ็ญก็เห็นว่าอาคงยังไม่พร้อมที่จะบอกเธอกับเพ็ญจึงเดินทางไปวัดกันต่อ การทําบุญในครั้งนี้เหมือนมีความสำคัญกับอามากเพราะทุกขั้นตอนอาทําอย่างตั้งใจสวดบทสวดมนต์เสียงดังและตั้งใจกรวดนํ้าอุทิศส่วนกุศล หลังจากนั้นทุกคนก็ขึ้นรถเพื่อที่จะพาอาไปหาหมอกันต่อ แต่พอจะออกรถก็เหมือนมีใครคนหนึ่งมายืนมองอาอยู่ เธอและเพ็ญกับอาสามคนคงรู้สึกเหมือนกันจึงหันไปดูปรากฏว่าใต้ต้นไทรมีผู้หญิงผมยาวใส่ชุดไทยยืนยิ้มให้อยู่ ผู้หญิงคนนี้เธอสวยมาก แต่ทันใดนั้นเธอก็เดินเข้าไปในต้นไทรต่อหน้าต่อตาของพวกเราทั้งสามคน เธอและเพ็ญ โดยเฉพาะอายกมือทั้งคู่พนมก้มศีรษะอย่างนอบน้อม แต่ดูเหมือนจะไหว้แบบกล้าๆกลัวๆมากกว่า เพราะตอนนั้นทุกคนก็ต่างรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เห็น
พอได้สติแล้ว เธอก็เริ่มขับรถออกไปเพื่อจะไปที่โรงพยาบาล อยู่ๆอาก็พูดขึ้นมาว่า “ตอนนี้อาอยากกลับบ้านแล้วจ๊ะ รู้สึกว่าหายแล้วอาการปวดเมื่อยร้อนๆหนาวๆ ทุกอย่างหายแล้วหายจริงๆ อาไม่ได้ล้อเล่น กลับบ้านกันเถอะนะ” แต่เพ็ญก็บอกขอให้เธอพาอาไปหาหมอต่อไป อย่างน้อยก็ให้หมอดูอาการนิดนึง แต่อาก็ยังคงยืนยันว่าอาหายดีแล้วและยังบอกว่าจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง เพ็ญจึงถามเพื่อความแน่ใจอีกทีและก็ได้คำตอบเดิมคืออาหายแล้วและต้องการจะกลับบ้าน พอได้ยินแบบนั้นเพ็ญจึงต้องยอมกลับบ้านตามที่อาต้องการ
พอมาถึงที่บ้านอาก็ได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อเดือนก่อนอาได้ไปช่วยงานบุญที่วัดนี่ที่เพิ่งไปทำบุญมา แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่อาเห็นว่ามีคนมาช่วยงานกันเยอะ แล้วอาก็เลยมานั่งคุยกับป้าที่เขาทำอาหารคุยไปคุยมา ไม่พ้นเรื่องหวยบ้าง ก็มีการเล่ากันว่าต้นไทรที่วัดแห่งนี้บอกหวยดีมาก เธอรู้สึกว่าจะเป็นต้นที่พวกเราเพิ่งเห็น ด้วยความอาก็ปากไวหันไปเถียงป้าว่าคงไม่มีหรอกเห็นอยู่มาหลายปีก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ถ้ามีจริงก็คงมาให้เห็นภายใน 3 วัน 7 วัน พวกป้าๆในตอนนั้น เขาก็ยังเตือนอาเลยว่าเรื่องนี้อย่าไปลบหลู่เชียว ไม่เจอกับตัวไม่รู้หรอกพอหลังจากวันนั้นอาก็เกิดป่วยโน้นป่วยนี้ เป็นหนักจริงๆก็สามวันที่ผ่านมานี่เอง อาถึงได้อยากชวนให้เข้าวัดทำบุญก่อน พออาได้ทำบุญและขอขมาจริงๆ อาการของอาก็ดีขึ้นทันทีเลย
นี่ก็เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเพราะพอทำบุญเสร็จไม่นานอาการของอาก็ดีขึ้นนี่ คงเป็นเพราะอารู้สึกผิดจริงๆที่แค่ปากไวไปโดยไม่ทันคิด พอได้ขอขมากับสิ่งที่ทำลงไป เลยทำให้อาการดีขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นเรื่องที่ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่เพราะเราไม่รู้ว่า รอบตัวเรานั้นมีอะไรบ้างกันแน่…