เรื่องสยองขวัญนี้เกิดขึ้นที่วัดดงสวน ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ในอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเมื่อ 35 ปีก่อนได้แล้ว ตอนนั้นถนนหนทางไม่สะดวกสบายอย่างในทุกวันนี้ เป็นถนนลูกรังขรุขระยิ่งในหน้าฝนด้วยยิ่งไม่สะดวก หากใครไม่มีธุระจําเป็นจริงๆ ก็จะไม่มีใครเดินทางโดยใช้ถนนเส้นนี้เลย วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ถึงแม้จะเป็นเพียงวัดเล็กๆ แต่ก็มีความหมายต่อชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นเป็นอย่างมาก ภายในวัดมีสุสานที่เก่าแก่พอๆ กับอายุของวัดอยู่ มีส่วนที่จัดไว้เป็นโรงทึบสำหรับเก็บศพของผู้ที่ตายไปแล้ว และนี่ก็คือบริเวณที่ทำให้เกิดเรื่องราวสยองขวัญนี้ กับเรื่อง “เรื่องเล่าวัดดงสวน”
โดยเรื่องของสุสานของวัดดงสวนนี้ ถูกก่อสร้างด้วยซีเมนต์ทำเป็นช่องๆ สำหรับใส่โลงศพได้พอดี มีฝาเปิดปิดได้ ทำด้วยซีเมนต์แทนประตูและในบริเวณสุสานนี่เองที่ชาวบ้าน ต่างก็ร่ำลือกันเกี่ยวกับเรื่องของภูติผีวิญญาณกันอย่างมาก เพราะตรงนี้มักจะมีศพคนตายเก็บไว้ในสุสานแห่งนี้อยู่ตลอดเวลา การเก็บศพแต่ละศพนั้นจะมีระยะเวลาต่างกันแล้วแต่ญาติของผู้ตาย บางคนเก็บระยะยาว บางศพก็ประมาณ 3 เดือน และมีจำนวนไม่น้อยที่เก็บศพไว้จนเหลือแต่โครงกระดูก ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงเรียกที่นี่ว่า “โกดังเก็บศพ” มากกว่าจะเรียกว่าสุสานหรือป่าช้าทั่วๆไป ผู้คนที่อยู่ในละแวกวัดนี้จะคุ้นเคยกับโกดังแห่งนี้เพราะด้านหน้าจะอยู่ภายในบริเวณวัด ส่วนด้านหลังจะอยู่ติดกับสวนที่มีความรก ชาวบ้านที่อยู่ใกล้วัดต่างรู้สึกชินกับสภาพเหล่านี้ และพวกเขาบอกว่า พวกเขาไม่ค่อยหวาดกลัวเท่าใดนัก ถึงแม้ว่าจะเป็นที่เลื่องลือทางด้านผีดุเป็นอย่างมากก็ตาม และหากคิดในมุมกลับจะเห็นได้ว่าสภาพของสุสานหรือโกดังเก็บศพนั้นนับว่าเป็นสิ่งเตือนใจแก่มนุษย์กันเองได้เป็นอย่างดี เป็นการชี้ให้เห็นว่าการเกิดแก่เจ็บตายนั้นเป็นสัจธรรมที่มนุษย์เราทุกคนจะไม่สามารถหนีพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดไปได้ อยู่อย่างนี้ทำกรรมดีก็ได้รับผลกรรมดีทำกรรมชั่วก็ได้ชั่ว
วิญญาณของคนตายที่อยู่ในสุสานหรือโกดังบางวิญญาณยังวนเวียนเกาะติดอยู่กับศพ ที่พวกวิญญาณเหล่านั้นไม่ไปไหนอาจจะเป็นเพราะวิญญาณเหล่านั้นยังคงเป็นห่วงคนที่ยังอยู่หรือไม่ก็ยังห่วงหวงทรัพย์สินที่เอาติดตัวไปไม่ได้ บางวิญญาณมีความเฮี้ยนเป็นอย่างมาก ชอบหลอกหลอนคนที่เดินผ่านหรือชาวบ้านแถวนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ บางรายก็คิดว่าวิญญาณเหล่านั้นอยากได้คนไปอยู่ในสุสานด้วยกัน
เคยได้มีคนได้เจอดีจากสถานที่แห่งนี้จริงๆด้วย มันเป็นเหตุการณ์จาก ญาติคนหนึ่งของผู้ที่เล่าเรื่องนี้ ซึ่งเจอมากับตัวจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดในปีนั้น คนที่ได้เจอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอายุได้ 30 ปีกว่าๆ แกได้เกิดล้มป่วยเป็นไข้หนักมีอาการทรุดอย่างรุนแรงทำให้ญาติพี่น้องต่างพากันวิตกกังวล พวกเขาต่างให้การดูแลรักษาอย่างเต็มที่เท่าที่จะสามารถทำได้ ในบางครั้งเธอก็มีอาการดีขึ้นมาบ้างเหมือนทำท่าว่าจะหายป่วย แต่แล้วพอวันรุ่งขึ้นอาการก็กลับทรุดลงอีกเป็นๆ เธอจะมีอาการ เป็นๆหายๆ อยู่อย่างนี้จนต้องพาตัวไปรักษาทางพระเพราะทางแพทย์แล้วอาการไม่ดีขึ้นเลย ถึงแม้จะทางพระแล้วแต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย สภาพการป่วยยังคงเป็นเช่นเดิมคือเป็นๆ หายๆ จนญาติพี่น้องรู้สึกเหนื่อยและเอือมระอาจึงพากันขาดความเอาใจใส่ลงบ้างตามวันเวลา
วันหนึ่งพวกญาติๆ ได้พากันไปเที่ยวงานประจำปีกันหมดเป็นงานที่ทางอำเภอจัดขึ้นและเป็นคืนเดือนเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ ในคืนนั้นเธอถูกนอนทิ้งอยู่บนเตียงเพียงคนเดียวในบ้าน ซึ่งอยู่ใกล้กับวัดดงสวน ในคืนนั้นพอตกดึกเข้า เธอก็เกิดอาการตัวร้อนจับไข้ขึ้นมาจนหนาวสั่นถึงกับต้องนอนร้องอยู่คนเดียวขณะที่ญาติๆ ต่างออกไปเที่ยวสนุกสนานกันหมด ในตอนนั้นเธอรู้สึกผวาขึ้นมา เพราะถึงแม้จะห่มผ้าห่มคลุมตัว แต่ก็ยังคงมีอาการหนาวอยู่เพราะพิษไข้ ขณะที่สภาพร่างกายกำลังอ่อนแอเพราะอาการป่วยอยู่นั้น จู่ๆบ้านที่เธอนอนก็มีอาการเคลื่อนไหวคล้ายกับมีคนมาจับเสาบ้านเขย่าจนบ้านโยกสั่นไหวจนฝาแทบปริ แต่ยังโชคดีที่มันเคลื่อนไหวอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น
หลังจากนั้นได้ไม่นานก็มีบางอย่างปรากฏตัวต่อหน้าสายตาของเธอ ได้มีหญิงคนหนึ่งปรากฏเลือนรางอยู่ตรงหัวบันไดบ้านแม้ว่าจะอยู่ไกลพอสมควร แต่ก็พอมองเห็นว่าหญิงสาวคนนั้นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าใหม่เอี่ยม มันเป็นสีขาวทั้งชุด เธอมีผมยาวสลวยจนถึงกลางหลังและมีหน้าตาที่สวยงาม แต่ซีดขาวเหมือนกระดาษและใบหน้านั้นเป็นใบหน้าสาวสวยที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี พอเธอเห็นหญิงสาวคนนั้นเดินเข้ามาในห้องก็แทบหัวใจหยุดเต้นไปเลยในตอนนั้น หน้าซีดตัวสั่นหนักกว่าเดิมเมื่อจำได้อย่างแม่นว่าหญิงสาวคนนั้นคือเพื่อนสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ ซึ่งตายไปแล้วเมื่อ 5 ปีก่อนขณะที่ทั้งคู่ยังอยู่ในวัยเบญจเพส ตอนนั้นเธอไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ ได้แต่นอนตัวแข็งที่และวิญญาณของเพื่อนก็ได้ขยับเข้ามาใกล้ๆพร้อมพูดออกมาว่า “ฉันมารับแกไปอยู่ด้วยไปอยู่ด้วยกันเถอะจะทนทรมานอยู่อย่างนี้ทำไมให้คนอื่นเขาเอือมระอาไปด้วยกันจะสบายกว่านี้” แล้วร่างของเพื่อนเธอก็ค่อยๆทรุดตัวลงนั่งข้างๆเตียงจนได้กลิ่นเหม็นสาบสางคลุ้งไปหมด แต่ไม่ทันไรญาติพี่น้องก็เสียงดังขึ้นที่หน้าบ้านหลังจากที่กลับจากไปเที่ยวงานประจำปี ต่อจากนั้นร่างของเพื่อนและกลิ่นสาบสางเลือนหายไปต่อหน้าต่อตาไม่ทันที่จะวิญญาณของเธอจะได้ทำอะไร แต่นั้นมันก็สร้างความหวาดกลัวให้กับเธอจนทำให้หมดสติไปนั่นเอง
นี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมดของเรื่อง ผีที่วัดดงสวนกันนะครับ ถ้าหากใครที่ชอบเรื่องราวเหล่านี้และอยากจะอีกเรื่องผีสนุกๆแบบนี้อีก ขอให้ติดตามกันไปเรื่อยๆนะครับ บรัยบาย…