เหตุการณ์สยองขวัญครั้งนี้ ต้องย้อนไปเมื่อประมาณยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาช่วงราวๆ ปี 2530 เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ชายคนหนึ่ง วันนั้นเขายังจําได้ติดตา มันเป็นวันศุกร์เวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆเห็นจะได้ เขาได้ไปซื้อของที่ร้านของชำใกล้ๆบ้านของเขา ตอนไปนั้นทุกอย่างก็ดูเป็นปกติดี แต่ตอนขากลับ ก็ได้เกิดเรื่องขึ้น มันเป็นเรื่องที่ตัวเขาเองไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะได้สัมผัสกับมันและทั้งชีวิตของเขา ก็มีเพียงครั้งนี้เองที่เป็นครั้งแรกและหวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เกิดขึ้นกับตัวเขานั่นเอง แอดขอนำเสนอเรื่อง “ห่วยใย” อ่านกันให้สนุกได้เลยครับ…
เขาได้พบกับเรื่องราวที่ชวนสยองขวัญอย่างที่สุด หลังจากที่เขาได้ซื้อของตามต้องการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็ออกจากร้านค้าและเดินกลับบ้าน เขาเดินกลับไปเรื่อยๆ สักพักหลังจากเดินไปได้ไม่นาน เขาก็ต้องพบกับร่างของชายคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่ข้างทางบริเวณที่จัดไว้เป็นที่นั่งเล่นมีโคมไฟส่องสว่างอยู่ เขาไม่ได้สนใจอะไรได้ แต่ก็ต้องนึกสงสัยขึ้นมาว่าป่านนี้แล้วไม่น่ามีใครมานั่งเล่นอยู่หรือไม่น่ามีใครออกมายืนอยู่ตรงบริเวณนั้นนะ มันก็ดึกพอสมควรแล้ว เพราะในหมู่บ้านที่เขาอยู่ส่วนใหญ่แล้วเมื่อตกเวลาเย็นเข้า ผู้คนก็มักจะกลับเข้าไปพักผ่อนอยู่ในบ้านของตัวเองตามประสาชาวชนบทโดยทั่วไป เขาเดินเข้าไปใกล้ร่างของชายคนนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเกือบจะถึงร่างของชายคนนั้นแล้ว และในระยะขนาดนั้นทำให้เขามองเห็นใบหน้าของชายที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้ค่อนข้างชัดเจน ชายคนนั้นมองมายังเขาและก็ได้ยิ้มให้กับเขาแบบแปลกๆ แต่แม้ว่าชายคนนั้นจะยิ้มให้เขา แต่มันก็เป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเศร้าและเขาก็ไม่ได้ยิ้มตอบให้กับชายคนนั้นแต่อย่างใด
แต่เขาก็ต้องวิ่งหนีอย่างทันทีเพราะชายคนนั้นคือ “อานพ” เพื่อนของพ่อเขาเองและที่สำคัญนั้นคือเขาเพิ่งเสียชีวิตไปได้ประมาณ 3 เดือนมาแล้ว ร่างของอานพนั้นยืนห่างจากเขาประมาณ 3 เมตรได้ ซึ่งระยะห่างขนาดนี้เขาว่าเขาสามารถจำได้อย่างไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอนเลย เขารู้ตัวทันทีว่าถูกผีหลอกเข้าให้แล้ว แต่นั่นยังไม่น่าเสียใจเท่าที่ว่า ตัวเขานั้นเคยได้ยินมาจากผู้ใหญ่ว่า พวกวิญญาณมักจะมาปรากฏตัวให้เห็นเอาตอนดึกๆ ไม่ใช่ออกมาตั้งแต่หัวค่ำอย่างนี้และถ้าเขารู้มาก่อนว่าจะต้องมาเจอะเจอกับผีอย่างจะจะอย่างนี้ เขาคงไม่มีวันที่จะออกจากบ้านมาหาซื้อของอย่างแน่นอนนั่นคือสิ่งที่เขาคิดระหว่างตกใจ เขายืนตะลึงกับภาพการปรากฏตัวของอานพอยู่ชั่วอึดใจใหญ่ๆ ขณะนั้นทำอะไรไม่ถูกเลยจะก้าวขาวิ่งก็วิ่งไม่ออกจะร้องตะโกนเรียกคนมาช่วยก็ไม่สามารถทำได้เพราะปากคอมันสั่นไปหมดพูดไม่ออก ได้แต่จ้องทั้งที่สั่นไปหมดทั้งตัวลักษณะร่างที่เห็นในขณะนั้นในตอนแรกก็ดูเป็นคนปกติแล้วค่อยๆเปลี่ยนเป็นเจือจางและเลือนหายไปต่อหน้าต่อตา ทันทีที่ร่างกายของอานพเลือนหายไป สติของเขาจึงเริ่มกลับคืนมาและเมื่อรวบรวมสติได้เขาก็วิ่งตะโกนร้องเสียงหลงไปยังบ้านของคนรู้จักแถวๆ นั้น
หลังจากที่ได้เข้าบ้านของคนรู้จักเขาก็นั่งหอบอยู่พักใหญ่ สักพักเขาก็ถูกถามว่าเกิดอะไรขึ้น และหลังจากที่เขาเล่าให้กับคนรู้จักฟัง ก็โดนหาว่าเขาปอดแหกตาฝาดไปเอง บางคนยังหัวเราะเยาะเสียอีก เขาก็ได้เล่าเรื่องราวที่เจอมาให้ทุกคนฟัง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อเขา ถึงพวกเขาจะพากันหัวเราะเยาะเขาแค่ไหนก็ตามเขาก็ไม่กล้าโกรธพวกเขา เพราะต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขา เพื่อให้พวกเขาพาเขามาส่งที่บ้านนั่นเองเพราะเขาไม่กล้าที่จะกลับบ้านเองแล้วในตอนนั้น
หลังจากนั้นไม่นานนักก็ได้มีผู้คนอีกหลายคนเจอะเจอเหตุการณ์คล้ายคลึงกับเขาเพิ่มขึ้น โดยมีชาวบ้านหลายคนที่กลับบ้านในตอนกลางคืนได้เห็นวิญญาณของอานพยืนอยู่ตรงจุดเดียวกับที่เขาเห็น ลักษณะคล้ายกันคือยืนเหม่อมองเข้าไปยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ กันพอมีคนมาเห็นแกก็จะหันมามองแล้วยิ้มให้ ก่อนจะค่อยๆเลือนรางหายไปแบบต่อหน้าต่อตา เมื่อข่าวการปรากฏวิญญาณของอานพหนาหูขึ้นก็ได้มีการจัดงานทำบุญขึ้นโดยชาวบ้านในหมู่บ้านทุกๆคนช่วยกันทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเขา และมารู้ทีหลังว่าวิญญาณของเขาไปยืนอยู่ตรงนั้นก็เพราะเป็นจุดที่สามารถมองเข้าไปในบ้านของอานพได้อย่างค่อนข้างชัดเจน เขาจึงคิดว่าวิญญาณของอานพแกคงเป็นห่วงลูกเมียของแกที่อยู่ในบ้าน เพราะแกยังมีลูกเล็กๆ อีก 2 คนที่เหลือ ตอนนี้ก็เหลือเพียงแม่ดูแลเพียงคนเดียวแกก็เลยมายืนมองดูเพราะความเป็นห่วง แกคงเข้าไปในบ้านของตัวเองไม่ได้เพราะมีศาลพระภูมิเจ้าที่อยู่จึงได้แต่มายืนมองด้วยความห่วงหา
ด้วยความห่วงครอบครัวจึงได้สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนที่ผ่านไปมาและสามารถสัมผัสกับวิญญาณแกได้ หลังจากทำบุญใหญ่ในหมู่บ้านคราวนั้นก็ไม่มีใครเห็นอานพมายืนปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย และนี่ก็คือทั้งหมดของเรื่องสยอง ห่วงใย ถ้าชอบก็ขอให้ติดตามกันไปเรื่อยๆนะครับ บรัยบาย…