เรื่องราวความสยองขวัญในครั้งนี้เป็นประสบการณ์จากผู้ชายคนหนึ่งที่เขานั้นได้เข้าร่วมอาสาเป็นหน่วยกู้ภัยและทำงานอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา โดยตัวเขานั้นได้มีโอกาสได้ไปพบเจอเรื่องราวสยองขวัญในตอนที่เขานั้นได้มีโอกาสไปส่งศพ เรื่องราวต่อไปนี้จะเป็นอย่างไรและหลอนขนาดไหนขอให้ทุกคนตั้งใจอ่านกันนะครับ กับเรื่อง “ส่งศพ” ถ้าอยากรู้แล้วว่าเป็นอย่างไร ขอให้อ่านกันให้สนุกนะครับ…
เขานั้นทำงานเกี่ยวกับการกู้ภัยซึ่งงานเหล่านี้นั้นก็มักจะเป็นธรรมดาที่ตัวเขานั้นจะต้องพบกับเรื่องราวแปลกๆหรือเรื่องราวสยองขวัญแบบนี้กันอยู่แล้ว เรียกได้ว่าเขานั้นเห็นความเป็นและความตายมานัดต่อนัดก็ว่าได้ อย่างเรื่องที่แอดกำลังจะเล่านั้นก็เป็นหนึ่งในงานของเขาเช่นกัน เพราะเขาต้องคอยนำศพไปส่งในยังสถานที่ต่างๆ บางรายก็ให้ไปส่งที่วัด และบางรายก็ให้ไปส้งที่บ้าน เรื่องๆนี้เกิดขึ้นมาช่วงปี 2562 เรื่องเริ่มต้นเมื่อวันหนึ่งเป็นเวลาประมาณสองทุ่ม เขาได้รับวิทยุจากทางกู้ภัย โดยให้ไปตรวจสอบผู้ป่วยท่านหนึ่ง โดยผู้ป่วยคนนี้เป็นเพศชายอายุประมาณ 60 ปี โดยที่แกนั้นหมดสติและไม่รู้สึกตัวและก็ไม่หายใจด้วยเช่นกัน พอได้ยินแบบนั้นเขากับเพื่อนของเขาก็ได้ขับรถตรงไปที่บ้านของผู้ป่วยทันที พอไปถึงเขาก็ได้เห็นคุณลุงอายุประมาณ 60 ปี ส่วมเสื้อสีขาวกับกางเกงขาสั้น โดยมีผมขาวและผิวที่ซีด แกเหมือนกับว่าจะหมดสติและก็ไม่หายใจแล้ว พอเห็นสภาพแล้วเขาก็รู้ทันทีว่าคุณลุงคนนี้อาจจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ก็ได้เรียกรถพยาบาลมา
พอรถพยาบาลมาถึงและจะนำร่างของชายคนนี้ไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลแต่ไม่ทันที่จะได้ถึงโรงพยาบาลก็เหมือนจะสรุปกันได้แล้วว่า คุณลุงคนนี้นั้นน่าจะเสียชีวิตไปได้สักพักแล้ว ซึ่งหมอก็ได้บอกไว้ว่าลุงคนนี้นั้นได้เสียชีวิตมาหลายชั่วโมงแล้ว แต่จริงๆแล้วเขาก็พอเดาออกอยู่แล้ว หลังจากที่หมอได้สรุปแล้วว่าลุงคนนี้นั้นเสียชีวิตจริงๆแล้ว ญาติของลุงคนนี้ก็ได้มาบอกกับเขาว่า พวกเขาต้องการนำศพของลุงคนนี้ไปทำพิธีที่จังหวัดปทุมธานี เพราะมันเป็นจังหวัดบ้านเกิดของลุงเขา เขาก็ได้ตอบตกลงไปเพราะมันก็คือหน้าที่ของเขาด้วยเช่นกัน ซึ่งคืนนั้นพวกเขาก็ได้นำศพกลับไปไว้ที่บ้านของผู้เสียชีวิต และพวกเขาก็ได้ตกลงกันว่าตอนเวลาประมาณตี 2 เขาจะนำร่างศพของลุงคนนี้ไปไว้ที่วัดที่อยู่จังหวัดปทุม ที่ออกจากบ้านเวลาตี 2 ก็เพราะว่าตั้งใจจะทำให้ถึงวัดในเวลา 6 โมงเช้า
ในระหว่างที่เขานั้นรอให้ถึงเวลาตีสอง เขาก็ได้นอนเล่นนั่งเล่นไปสักพัก พอถึงเวลาตีสองเขาก็ได้ขับรถไปที่บ้านของลุงที่เสียชีวิต พร้อมกับให้ญาติของแกได้จุดธูปเพื่อที่จะบอกดวงวิญญาณว่าให้ขึ้นมาบนรถด้วยกัน เหมือนกับการเรียกวิญญาณกลับบ้านด้วยกันนั่นเอง โดยตอนนั้นก็จะมีเขาที่เป็นคนขับรถและญาติๆของลุงที่นั่งรถมาด้วยไปกันในตอนนั้น จนขับมาถึงที่วัดในปทุมกันแล้วทุกอย่างก็เรียบร้อยดี พอส่งศพเป็นที่เรียบร้อยเขาก็ได้ขับรถออกมาทันที แต่ไม่ทันที่ตัวเขาจะได้ขับรถออกจากวัดนั้น เพื่อนของเขาก็ได้ทักว่า “เขาลืมให้ญาติของลุงจุดธูปเรียกลุงลงไปหรือเปล่า” ตอนนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ทันทีและคิดว่าป้าคงลืม เขาจึงได้ตะโกนทันทีว่า “ลุงๆตอนนี้ผมขับรถมาถึงวัดแล้วนะ ลุงลงไปได้แล้วครับ” และเขาก็ได้ขับรถกลับกันต่อ แต่ออกจากวัดได้ประมาณ 5 นาที อยู่ๆก็มีรถจากที่ไหนไม่รู้จะขับรถมาเบียดรถของเขาจนเหมือนจะชนไปข้างทางอยู่แล้ว
เขาได้ขับกลับมาเรื่อยๆ แล้วเขาก็ได้รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเลยตั้งใจว่าจะจอดรถไว้ตรงบริเวณปั้มเพื่อที่จะได้นอนพักสักหน่อยก่อนจะขับรถกลับบ้านอีก พอได้ถึงปั้มเขาก็ได้จอดรถลงและได้ไปนอนข้างหลังของรถ โดยที่เขานั้นได้ไปนอนอยู่ที่เตียงผู้ป่วยที่อยู่ทางด้านหลังของรถ ส่วนเพื่อนของเขาก็นอนอยู่ข้างๆด้วยเช่นกันแต่จะนอนอยู่ตรงที่บริเวณที่นั่งของคน แต่แล้วนอนไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง เพื่อนของเขาก็ได้ปลุกให้เขาตื่นและบอกว่าไปให้กันเถอะ น้ำเสียงของเพื่อนของเขาดูน่าเป็นห่วงยังไงไม่รู้ เขาเลยได้ยอมกลับทันที ระหว่างทางกลับหลังจากนั้นเขาสังเกตเห็นเพื่อนของเขาได้ว่า เพื่อนของเขามักจะหันหลังไปมองด้านหลังอยู่บ่อยๆ หันแบบนั้นอยู่เป็นประจำ ทุกครั้งที่หันไปเพื่อนของเขาก็มักจะมีสีหน้าแปลกๆตลอด เขาก็ได้ขับมาเรื่อยๆต่อโดยที่ไม่ได้ถามอะไร แต่ยิ่งขับไปเท่าไหร่สีหน้าของเพื่อนเขาที่คอยหันหลังไปมองข้างหลังก็ยิ่งดูแปลกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยพอถึงบ้านของพวกเขาในที่สุด เขาก็ได้ตัดสินใจถามเพื่อนของเขาว่าเป็นอะไรหรือเปล่าทำไมสีหน้าเปลี่ยนไปตลอดเวลาตอนกลับมาบ้านแบบนี้
เพื่อนของเขาก็ได้เล่าว่า ตลอดการขับรถกลับมานั้น เพื่อนของเขาได้เห็นคนนั่งอยู่ข้างหลังตลอด แรกๆเขาก็ไม่แน่ใจว่าเป็นใคร แต่พอสังเกตจริงๆก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือลุงที่พวกเขาเพิ่งจะนำศพไปส่งนั่นเอง ซึ่งด้วยความที่อยากจะถึงบ้านเร็วๆเขาก็ไม่กล้าที่จะบอกเขาที่กำลังขับรถอยู่ เพราะกลัวว่าจะพากันกลัวและไม่ได้กลับบ้านกันนั่นเอง…