เหตุการณ์สยองขวัญในครั้งนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในห้องพัก ที่แอดนั้นขอตัวชื่อไว้ก่อนเลยว่า “รูปปั้น” เป็นเห็นการณ์ของคนๆหนึ่งที่เขานั้นได้ไปอยู่บ้านพักและได้เจอกับอะไรแปลกๆ โดยเรื่องนี้นั้นเกิดขึ้นที่จังหวัดสุรินทร์ เมื่อไม่กี่ปีมาก่อน ตอนนั้นเขานั้นยังเรียนอยู่มอปลายที่กำลังจะเลื่อนขึ้นไปเป็นนักศึกษาเต็มตัวอยู่ ตอนนั้นตัวเขานั้นได้ไปสอบติดอยู่ที่มหาลัยแห่งหนึ่งที่อยู่ในจังหวัดสุรินทร์และด้วยความที่มหาลัยแห่งนี้อยู่ไกลจากบ้านของเขาเป็นอย่างมาก ทำให้เขาต้องเช่าที่พักอยู่พร้อมกับเพื่อนของเขา นั่นทำให้เขาต้องได้เจอกับเรื่องแปลกๆขึ้นมา ที่จะทำให้เขาไม่ลืมมันอีกเลย ถ้าอยากรู้แล้วว่าเรื่องต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ขอให้อ่านกันให้สนุกนะครับ บรื้อ…
โดยตอนนั้นตัวเขาและเพื่อนสนิทของเขาอีกสองคน ทั้งหมดนั้นได้สอบติดเข้ามหาลัยที่มีชื่อเสียงประจำจังหวัดทั้งหมด เมื่อใกล้ถึงเวลาเปิดเทอมทั้งตัวเขาและเพื่อนสนิทของเขาทั้งหมด ต่างพากันเพื่อที่จะไปหาบ้านเช่ากัน และได้ติดต่อไปทางป้าคนหนึ่งที่เหมือนจะเปิดบ้านเช่าให้สำหรับนักเรียนหรือนักศึกษาอยู่ ตอนติดต่อผ่านป้าคนนี้ไป ป้าได้บอกพวกเขาว่ามีบ้านให้เช่าอยู่ทั้งหมด 6 หลัง แต่โดนเช่าไปแล้ว 3 หลัง เพราะฉะนั้นบ้านที่เหลือให้พวกเขาได้เลือกนั้นจะมีเพียงแค่ 3 หลังเท่านั้น เขาก็ได้ถามเกี่ยวกับราคาของบ้านเช่าว่าราคาเท่าไหร่ แต่คำตอบที่เขาได้กลับทำให้เขารู้สึกดีใจสลับกับแปลกใจขึ้นมา เพราะ 2 ใน 3 ของบ้านเช่านั้นราคาอยู่ที่ 4500 บาท แต่มีอยู่หลังนึงที่ราคาเพียง 1500 บาทเท่านั้น โดยเขาก็ได้ถามป้าเจ้าของบ้านว่าทำไมราคาถึงไม่เท่านั้น แต่คำตอบที่เขาได้ก็พอทำให้เขาเชื่อขึ้นมานิดหน่อย เพราะป้าได้ให้เหตุผลว่า มันเป็นบ้านที่ค่อนข้างเก่าแล้วถ้าหากเทียบกับหลังอื่นๆ แล้วป้าแกก็ไม่สามารถไปทำความสะอาดได้บ่อยนักเพราะแกก็อายุเยอะแล้ว และอีกอย่างมันเป็นบ้านที่อยู่ด้านในสุด จึงทำให้ไม่ค่อยมีใครอยากอยู่กัน
แต่เพื่อนของเขาคนนึงก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่ใช่ว่าบ้านหลังนี้มีผีหรอกนะครับ” ป้าแกก็พูดเถียงขึ้นมาทันทีว่า “บ้านทุกหลังของป้านั้นไม่เคยมีคนตายเลย รับรองว่าไม่มีผีอย่างแน่นอน” เขาจึงได้ปรึกษากับเพื่อนๆของเขาว่าจะเอาบ้านหลังไหนดี ด้วยความที่บ้านหลังสุดท้ายนั้นมีราคาที่ถูกมาก มันจึงเหมือนเชิญชวนให้พวกเขาเข้าไปอยู่เป็นอย่างมาก พวกเขาจึงตัดสินใจว่าเอาบ้านหลังสุดท้ายละกัน เพราะจะได้ประหยัดเงินพวกเขา และจะได้เอาเงินที่เหลือไปเที่ยวกันต่อ พอหลังจากได้กุญแจเข้าบ้านเป็นที่เรียบร้อย
พอได้เข้าไปในบ้านหลังนี้ก็พบว่า บ้านหลังนี้เป็นบ้านสองชั้น ศาลพระภูมิก็ล้มไปเป็นคนละทิศคนละทาง ราวกับว่าบ้านหลังนี้นั้นไม่มีคนมาอยู่หลายปีแล้ว พอเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าข้างล่างนั้นเป็นห้องโถ่งโล่งๆ ส่วนข้างบนชั้นสองก็มีอยู่สามห้องนอนพอดี ทุกคนจึงแยกกันเลือกห้องและทำความสะอาดห้องของตัวเองกัน และหลังจากนั้นก็มาทำความสะอาดบ้านกันเองทั้งหมด พอไปตรงถึงบริเวณศาลพระภูมิ เพื่อนของเขาคนหนึ่งก็ได้เจอกับรูปปั้นนางรำ และได้หยิบขึ้นมาให้เขากับเพื่อนอีกคนดู พร้อมพูดว่า “นี่รูปปั้นนางรำนี่แปลกๆดีนะ ดูแล้วน่าขนลุก แล้วเพื่อนคนนั้นก็ได้จับรูปปั้นนางรำนั้นหักแขนไปข้างนึง ทันที” เขากับเพื่อนอีกคนก็ตกใจกับการกระทำของเขา และได้ด่าว่าไปว่าทำอะไรไม่คิด เดี่ยวก็เจอดีหรอก แต่เพื่อนของเขาก็ไม่มีทีท่ารู้สึกผิดพร้อมกับพูดว่า คิดอะไรมากกับแค่รูปปั้นที่ไม่มีอะไร พร้อมกับโยนรูปปั้นนางรำทิ้งไปอย่างแรง
และในคืนนั้นเอง เพื่อนของเขาคนนี้ก็ได้เจอดีจริงๆ ในขณะที่กำลังนอนอยู่นั้นเขาก็ได้ยินเสียงดนตรีไทยดังขึ้นมา พร้อมกับเสียงของผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และพูดขึ้นมาว่า โอ้ยย เจ็บปวดเหลือเกิน โอ้ยย เอาแขนกูคืนมา โอ้ยยย เสียงของผู้หญิงคนนี้ดังขึ้นมาไม่หยุด ในตอนนั้นเขาได้แต่ขยับไปซ้ายขวาอยู่แบบนั้น ราวกับว่าเขานั้นกำลังโดนผีอำอยู่ และคำพูดสุดท้ายที่เขาได้ยินนั้นคือ “เอาแขนกูคืนมา” นั่นมันทำให้เขาถึงกับสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ในตอนนั้นทำให้เขาถึงกับนอนไม่หลับและพูดขึ้นมาว่า ผมขอโทษๆ พอหลังจากผ่านคืนนั้นไป เพื่อนคนนี้ก็ถึงกับต้องไปซื้อของเพื่อจะมาขอขมากับเจ้าที่ที่อยู่ที่นี่เป็นการใหญ่เลย
แต่แทนที่จะหมดเรื่องนั้น แต่คืนถัดมาเพื่อนของเขาคนนี้ก็ยังคงเจอดีเหมือนเดิม โดยครั้งนี้นั้นเพื่อนของเขาได้เล่าว่า เขานั้นได้ยินเสียงที่อยู่ในหัวของเขาดังก้องขึ้นมาเหมือนกับคืนก่อน มันเป็นเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ครั้งนี้นั้น เขาได้ลืมตาขึ้นมาและก็ได้พบกับร่างของผู้หญิงคนนั้นมีเหมือนจะไม่มีแขน ซึ่งมันก็ทำให้เขารู้ทันทีเช่นกันว่า นั่นคงมาจากรูปปั้นที่เขาหักแขนไปนั่นเอง
หลังจากนั้นเขาจึงได้พาเพื่อนคนนี้พร้อมกับนำรูปปั้นที่เพื่อนคนนี้ได้จับหักไปวัดเพื่อที่จะให้พระที่อยู่ที่นั่นดู พร้อมกับซื้อของทำบุญไปให้ พอหลังจากนั้นก็ทำให้เขามีอาการที่ดีขึ้นทันที…