ความรักความผูกพันระหว่างเพื่อนที่มีต่อเพื่อนนั้นย่อมมีค่าและมีความหมายสูงส่ง โดยเฉพาะกับเพื่อนผู้เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเป็นเวลาเนิ่นนานอย่างผู้ชายคนหนึ่งกับเพื่อนของเขาที่ชื่อว่า “อรรถ” ซึ่งทั้งสองรู้จักคบหากันมานับตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก กระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่มาด้วยกันทั้งคู่ และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ แอดขอเสนอเรื่อง “บวชให้เพื่อน” ถ้าอยากรู้แล้วว่าเป็นอย่างไร ขอให้อ่านกันให้สนุกนะครับ…
เขากับอรรถเรียนหนังสืออยู่ห้องเดียวกันมาตั้งแต่ชั้นประถม ซึ่งขณะนั้นเขายังใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อเรียนจบชั้นประถมเราก็มาต่อชั้นมัธยมด้วยกันและมีโอกาสได้เรียนห้องเดียวกันจนกระทั่งจบชั้นม.5 หลังจากนั้นเราต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปเรียนต่อ โดยเขาได้ย้ายตามครอบครัวเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ ส่วนอรรถยังคงอยู่ที่เพชรบูรณ์โดยไม่ได้เดินทางเข้ามากรุงเทพฯเช่นเดียวกับเขา และนี่เองที่ทำให้เขากับเพื่อนรักคนนี้ต้องห่างเหินกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เล็กจนโต ในระหว่างช่วงปิดภาคเรียน เขาได้เดินทางไปที่จังหวัดเพชรบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่มาอยู่กรุงเทพฯได้เกือบสองปี โดยได้ไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านของลุงเป็นเวลาหลายวันและที่นั้นเขากับเพื่อนๆในสมัยก่อนก็มีโอกาสได้มาพบกันอีกครั้งหนึ่ง พวกเราต่างก็ดีใจมากที่ได้พบกันอีก พวกเรามักจะชอบชักชวนกันไปทำอะไรสนุกสนานกับบรรยากาศเก่าๆ ด้วยการออกตะลอนเที่ยวตามประสาผู้ชายบ้างและที่ขาดไม่ได้ก็คือการไปเล่นน้ำในแม่น้ำป่าสักหลังหมู่บ้าน
วันหนึ่งอรรถกับเพื่อนอีก 2 คนได้มาหาเขาที่บ้านของลุง แล้วก็ได้ชักชวนกันไปนั่งเล่นที่ริมแม่น้ำป่าสักตรงหลังบ้านของลุงเขา เรานั่งคุยกันอยู่ครู่หนึ่งก็ชวนกันลงเล่นน้ำโดยขณะนั้นน้ำในแม่น้ำกำลังขึ้นสูงเกือบถึงตลิ่งและเป็นช่วงที่น้ำเชี่ยวกราก แต่พวกเราก็ไม่กลัวอะไรเพราะว่าพวกเรากับแม่น้ำแห่งนี้มักคุ้นกันเป็นอย่างดี โดยหารู้ไม่ว่าเหตุร้ายแรงกำลังจะเกิดขึ้นเพราะความคึกคะนองของพวกเรา อรรถเป็นคนแรกที่กระโดดลงไปเล่นในแม่น้ำในขณะที่เขายังไม่อยากลง เพราะรู้สึกว่ายังอิ่มอยู่เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาได้กินข้าวเข้าไป เขานั่งมองเพื่อน ๆ เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของอรรถร้องขอความช่วยเหลือห่างจากฝังไปประมาณหนึ่ง เสียงเขาร้องตะโกนโหวกเหวกพร้อมกับโบกมือไหวๆ แต่ขณะนั้นตัวเขาไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นคิดว่าอรรถคงแกล้งทำอย่างที่เคยล้อเล่นบ่อยๆโดยหารู้ไม่เสียงร้องตะโกนของเพื่อนที่ได้ยินอยู่คราวนี้มันเป็นเสียงที่ร้องขอความช่วยเหลืออย่างจริงจัง จนกระทั่งร่างของอรรถจมหายไปต่อหน้าต่อตา
ถึงรู้ว่าสิ่งที่เพื่อนร้องขอนั้นคือเรื่องจริง ภาพของอรรถก่อนที่จะจมน้ำหายไปยังติดตาเขามาจนทุกวันนี้ เมื่อนึกถึงทีไรเขาก็อดที่จะโมโหตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่ยอมไปช่วยเพื่อนทั้งๆที่เห็นอยู่ หลังจากการตายของเพื่อน ศพของอรรถถูกชาวบ้านช่วยกันงมจนพบภายในวันนั้นเอง งานศพก็ถูกจัดขึ้นภายในเย็นวันนั้นเอง บรรยากาศภายในงานศพเต็มไปด้วยความเศร้า เขาและเพื่อนๆที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนที่อรรถจะเสียชีวิตต่างก็มานั่งจับกลุ่มกันในศาลาที่ตั้งสวดศพ พวกเราได้แต่นั่งนิ่งมองหน้ากันไปมาไม่รู้จะพูดคุยอะไรดี เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมานี้มันเป็นเรื่องที่พวกเราไม่เคยคาดคิดกันมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นได้
หลังเสร็จจากงานศพในคืนแรก เขาก็ได้ไปนอนที่บ้านเพื่อนคนหนึ่งซึ่งร่วมอยู่ในเหตุการณ์จมน้ำตายของอรรถด้วย โดยพวกเราได้มารวมตัวกันที่นั่นและนอนด้วยกันเนื่องจากรู้สึกใจคอไม่ดีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การที่ได้มานอนรวมกับเพื่อนๆก็เพื่อจะให้ช่วยผ่อนคลายจากบรรยากาศที่ตึงเครียดลงบ้างนั่นเอง คืนนั้นกว่าผมจะหลับลงได้ก็ล่วงเข้าเกือบสอง เพราะต่างคนต่างก็มัวแต่นั่งพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของอรรถกัน พวกเขานอนอยู่ด้วยกัน 3 คนภายในห้องนอนขนาดไม่ใหญ่มาก เขากับเพื่อนนอนเรียงกันอยู่บนฟูกหลังใหญ่ โดยมีเขานอนอยู่ตรงกลางหันปลายที่ผนังห้องนอนทางด้านขวามีหน้าต่างอยู่สองบานเปิดอ้าทิ้งไว้เพื่อระบายอากาศ โดยมีเพียงหน้าต่างมุ้งลวดปิดไว้เพื่อป้องกันยุง ห้องๆนี้เป็นห้องนอนห้องเดียวที่อยู่บริเวณชั้นล่างของตัวบ้านและเป็นห้องที่อรรถก็เคยมานอนค้างอยู่บ่อยๆในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่
กลางดึกคืนนั้นในขณะที่เขาและเพื่อนๆได้หลับไปด้วยความอ่อนเพลียท่ามกลางความเงียบสงัด หูของเขาก็แว่วได้ยินเสียงๆหนึ่งดังขึ้นตรงนอกหน้าต่างมันเป็นเสียงคล้ายกับมีใครบางคนมาเคาะที่บานหน้าต่างที่เปิดอยู่เบาๆ และติดตามด้วยเสียงคล้ายกับคนที่กำลังหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน ก๊อกๆๆๆ…. ครีดดดด… ครีด… ครีดดดด.. เสียงนั้นเหมือนกับแว่วเข้าสู่โสตประสาทเพียงบางเบาในคราวแรกและต่อมามันก็ดังขึ้นเรื่อยๆ เขาตื่นขึ้นมองว่าเสียงๆนั้นคือเสียงอะไร และแล้วเขาก็พบว่าเสียงนั้นคือเสียงที่มาจากเพื่อนของเขา เขาขนลุกขนชันไปหมดทั้งตัวด้วยความตกใจอย่างที่สุด ร่างของอรรถยืนตัวสั่นสะท้านบ่งบอกถึงอาการหนาวเหน็บ ร่างกายและเสื้อผ้าของเขาเปียกโชก สายตามองตรงมาที่เขาอย่างน่าสงสาร ใบหน้าซีดจนมองเห็นเป็นสีขาว เขากำลังยืนตัวสั่นห่างจากริมหน้าต่างและส่งเสียงดังครืดคราดๆ คล้ายกับคนหายใจไม่สะดวกให้ได้ยินอยู่ตลอดเวลา ผมเห็นภาพนั้นชัดเสียจนทำอะไรไม่ถูก
ในตอนนั้นเขาได้แต่เพียงคิดในใจและขอโทษอรรคด้วยความรู้สึกผิด เขาพูดอยู่แต่แบบนั้นโดยที่พูดว่าเขาจะบวชให้กับอรรคในวันถัดไป พอเขาลืมตาขึ้นมาอีกที เขาก็ไม่เห็นอรรคแล้ว ซึ่งพอวันถัดไปเขาก็ได้อาสาตัวเองขอบวชให้กับเพื่อนของเขาตามที่ได้พูดเอาไว้ ซึ่งเขาก็หวังว่าเพื่อนของเขาคงได้รับบุญที่เขาได้บวชให้เพื่อนนั่นเอง…