ในอดีตกาลที่ผ่านมา ผู้คนจะนับถือผี เกิดศาสนาผีขึ้นมา การทำความเคารพต่อผีจำพวกนั้นคือการบูชาสักการะด้วยขอเซ่นไหว้ พวกเขาเชื่อว่า สิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านั้นจะปกปักรักษาหมู่บ้านแห่งนั้น แต่ในทางกลับกันถ้าผู้คนเหล่านั้นไม่ได้มีการเซ่นไหว้ จะเกิดเหตุอาเพศผู้คนจะเจอแต่สิ่งเลวร้าย เหมือนเช่นเดียวกับ “ผีกะ” เป็นความเชื่อขอผู้คนที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือหรือชาวล้านนา
ตามหลักคำสอนของหลวงพ่อท่านหนึ่งที่เคยได้รับทราบมาคือ มนุษย์เกิดมาด้วยส่วนประกอบ 2 ส่วน ส่วนที่หนึ่งคือร่างกายเนื้อหนังสิ่งที่จับต้องได้(ภายนอก) ส่วนที่สองคือดวงจิตหรือวิญญาณเป็นสิ่งที่ผู้คนธรรมดามองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ ถ้าจิตหรือวิญญาณออกจากร่าง กายของเราก้จะไม่มีจิตอยู่กลายเป็นศพ ขณะเดียวกันจิตหรือวิญญาณที่ออกจากร่างเขาเรียกกันว่า “ผี”อย่างสมบูรณ์แบบ
คนที่จะสามารถพบเห็นผีได้นั้นจะต้องมีตาทิพย์หรือสมาธิขั้นสูงเพียงเท่านั้นจึงจะพบเจอได้ จากสาเหตุนี้ “ผีกะ” จึงจัดเป็นผีอีกประเภทหนึ่งที่ไม่มีร่างกายอาศัยอยู่ในโลกวิญญาณเป็นโลกคู่ขนานอยู่ด้วยกันกับโลกมนุษย์ ตำนาน “ผีกะ” เป็นความเชื่อของคนภาคเหนือหรือชาวล้านนา เป็นผีพื้นบ้านประเภทหนึ่ง ซึ่งจะมีตำนานหลากหลายกระแสเป็นอย่างมาก
คำว่า “ผีกะ” จะมีความหมายคือ กะ จะหมายถึง “ตะกละ” ผีกะจะมีลักษณะนิสัยคล้ายกับ “ผีปอบ” ของผู้คนที่อาศัยอยู่ทางภาคอีสาน คือผีจำพวกนี้จะเข้าสิงสูไปในผู้คน เพื่อออกหากินของสดต่างๆ ผีกะใช้ส้อมกับช้อนไม่เป็นเวลากินจะใช้มือและกินอย่างตะกละตะกาม จะเห็นได้ว่าเป็นที่มาของชื่อ “ผีกะ” ของบรรดาเหล่าทางคนภาคเหนือนั้นเอง
คนที่มี “ผีกะ” ไว้เลี้ยงมักจะเป็นคนที่มีคาถาวิชาอาคม เล่นคุณไสย์มนต์ดำ ผีกะจะถูกเลี้ยงไว้ใน หม้อดินเผา ด้านบนจะมีผ้าที่ลงอักขระผ้ายันต์สีขาวปิดปากหม้อ และจัดวางไว้บนเพดานบ้าน ผู้เลี้ยงถ้าเป็นผุ้ชายต้องเซ่นสังเวยไหว้ผีกะนี้ด้วยไข่ดิบวันละ 1 ฟอง ถ้าเป็นผุ้หญิงต้องเซ่นสรวงด้วยเนื้อดิบความเชื่อนี้สะสมมานานแล้วตั้งแต่สมัยบรรพชนมาพร้อมกับศาสนาผีมีมาก่อนพระพุทธศาสนาสะอีก
คนที่นำ “ผีกะ” มาเผยแพร่คือพวกสายบันเทิง เต้นกินรำกิน การแสดงละเล่น จำพวก ลิเกหรือนักแสดง นักร้อง นักดนตรี จะเรียกผีนี้ว่า ผีกะพระนาง คนที่เลี้ยงผีกะจะเห็นเป้นลิงหรือคางตัวเล็กจำนวนสองตัว และจะนั่งบนบ่าของผู้เลี้ยง ผีชนิดนี้จะให้คุณประโยชน์แก่ผู้เลี้ยง คือ ถ้าหน้าตาคนเลี้ยงเป็นคนไม่สวย ไม่หล่อ เป็นคนขี้เหร ผีกะจะช่วยเลียหน้า ทำให้ดูสวยหล่อแต่จะเป็นแค่ช่วงเวลากลางคืน
ยิ่งดึกก็จะยิ่งสวยหล่อเป็นอย่างมาก ทำให้ระยะเวลาหนึ่ง การเลี้ยงผีกะจึงเป็นที่นิยมของนักแสดงในภาคเหนือ และได้กระจายความเชื่อนี้ออกไปจังหวัดอื่นอย่างแพร่หลาย ผีกะถึงให้คุณแต่ทางกลับกันถ้าผู้เลี้ยงไม่ให้ผีกะกินปล่อยให้ผีกะอดๆอยากๆปล่อยให้หิว มันจะให้โทษคนเลี้ยงอย่างมหาศาล ผู้เลี้ยงจะกลายเป็นครึ่งคนครึ่งผี ในเวลากลางคืนผู้ที่ถูกสิงสู่จะออกหากินของสดของคาวกินตับไตไสพุง
หรือ “ผีกะ” อาจไปสิงสู่ผู้คนที่ดวงตกหรืออาจจะป่วย และออกหากินในยามวิกาล จึงต้องหาหมอผีมาปราบไล่ผีออกกันอยู่เป็นประจำ
“ผีกะ” จะแบ่งแยกประเภทออกอีก 6 ชนิด ได้แก่
1. ผีกะตระกูล
“ผีกะตระกูล” เป็นผีชนิดหนึ่งที่คนเหนือนิยมเลี้ยง บ้านหลังไหนที่เลี้ยงผีกะ วิธีสังเกตุให้ดูที่นาของบ้านนั้นจะมีผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์แม้จะปลูกในที่ลุ่มๆดอนๆขาดน้ำฝนไม่ตก ผีกะจะให้คุณดีมาก แต่ถ้าผู้เลี้ยงไม่ดูแลเลี้ยงไม่ดี ผีกะจะออกสิงสู่ชาวบ้านจนต้องหาหมอผีมาปราบ ผีกะก็จะประจานบอกชื่อผู้เลี้ยงให้เกิดความอับอายแก่ชาวบ้านนั้นเอง
2. ผีกะตายโหง
“ผีกะตายโหง” คนที่ตายด้วยอุบัติเหตุกลายเป็นผีตายโหงยังมีจิตยึดว่าตนไม่ตาย ผีกินอะไรไม่ได้ ปล่อยเวลามาจนหิว ได้ไปสิงสู่กับคนที่มีจิตตกอ่อนแอทำให้กลายเป็นผีกะโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าจนกลายเป็น “ผีกะตายโหง”
3. ผีกะอาคม
“ผีกะอาคม” ผีชนิดนี้มักจะมีฤทธิ์มากที่สุด เมื่อเป็นมนุษย์ ได้เรียนคาถาอาคมโดยไม่ขึ้นครู เป็นการผิดครู จึงกลายเป็นผีกะไม่รู้ตัว ผีกะชนิดนี้มักจะไปสิงสู่ผู้ที่เรียนคาถาไม่มีครูผิดครู ยามวิกาลก็จะออกไปหาของกิน มันจะเปลี่ยนหน้าให้เหมือนคนที่มันสิง
4. ผีกะดง
“ผีกะดง” มีปรากฏจริงที่นิทานพื้นบ้านที่เชียงใหม่ ผีกะดงจะมีความดุเป็นอย่างมาก สิ่งที่พิเศษเลยคือน้ำลายของมันสามารถรักษาคนได้แถมกินแล้วคงกระพันอีกด้วย ผีชนิดนี้จะพูดภาษาคนไม่ได้ คนที่ถูกเข้าสิงจะไม่แสดงสิ่งผิดแปลกออกมาให้เห็น กลางวันจะนอนหมดแรง กลางคืนจะออกหากิน
5. ผีกะพระ-นาง
“ผีกะพระ-นาง” เป็นผีกะที่นิยมนำมาเลี้ยงเป็นจำนวนมาก นิยมในหมู่คนทำการแสดงต่างๆ กลางวันจะดูขี้เหร่ยามดึกจะดูสวยหล่อ
6. นกเค้าผีกะ
“นกเค้าผีกะ” เป็นผีกะที่ปรากฏแปลงร่างเป็นนกเค้าแมว ถ้ามันไปร้องที่บ้านใครก็คือผีกะกำลังจะมาหา