ถ้าพูดคำว่า “ผีเปรต” พวกเราก็มักจะได้ยินจากคนเฒ่าคนแก่บอกว่าเป็น ผีที่ตัวสูงเท่าต้นตาล มีลำแขนที่ยาว มือใหญ่เท่าใบลาน ปากเล็กเท่ารูเข็ม อาศัยอยู่ตามวัด ส่งเสียงร้องหวีดเล็กแหลมใครเพื่อขอส่วนบุญ พวกเราก็จะถามกันว่าแล้วทำอะไรถึงจะกลายเป็นผีเปรต ปู่ย่าตายายก็จะคอยสอนว่าพวกเราว่าอย่าเถียงพ่อแม่นะปากจะเล็กเท่ารูเข็ม
อย่าตีพ่อแม่นะมือจะใหญ่เท่าใบลาน เราก็จะได้ยินกันประมาณนี้ แต่จากประสบการณ์ที่เคยได้ยินมามีคนที่เคยพบเจอผีเปรตคือ ชาวบ้านที่ออกหาปลาในช่วงเวลา เที่ยงคืนครึ่งเดินผ่านไปทางวัด พอเดินไปถึงช่วงท้ายวัดที่เป็นป่าช้าเขาได้ยินเสียงหวีดเล็กส่งเสียงลากยาวจนเสียดหู ชาวบ้านคนนั้นได้หันไปหาต้นเหตุของเสียงว่ามาจากไหนเขาก็ได้พบกับร่างหนึ่งที่ทรงเหมือนมนุษย์ที่มีตัวที่สูงใหญ่
เขาได้ยืนอยู่ระหว่างขาของผีเปรตตนนั้นพอดี พอเขาได้เห็นเช่นนั้น ทำให้ชาวบ้านผู้นั้นสติแตกวิ่งกลับบ้านนอนจับไข้หัวโกร๋นกันเลย ชาวบ้านที่พบเห็นผีเปรตไม่ได้มีแค่คนเดียว เรื่องราวการพบเจอเปรตถูกเล่ากันมาปากต่อปาก
ตำนาน ความเชื่อ เรื่อง “ผีเปรต” ของคนไทย
สังคมไทยของเรานี้ส่วนใหญ่จะเชื่อว่าผีเปรตนั้นมีอยู่จริง มี ทางพระพุทธศาสนาของเรายืนยัน นอนยันกันเลยว่าผีเปรตมีอยู่จริงเพราะบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎก ผีเปรตตามความเข้าใจของสังคมคนไทย ที่มีหลักฐานจะพูดถึง เปรตวัดสุทัศนเทพวราราม จะมีประโยคเด็ดคือ “แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์ฯ” ซึ่งบอกถึงความหมายว่าทั้งสองสถานที่นี้จะมีแร้งกับผีเปรตเยอะ
เนื่องด้วยในยุคเก่านั้นมีผู้คนตายเป็นจำนวนมากด้วยโรคห่า มีการนำศพไปทิ้งไว้เป็นจำนวนมากจนทำให้มี่แร้งมาที่วัดสระเกศเพื่อมากัดกินร่างที่ไร้ชีวิต ส่วนวัดสุทัศน์มีคนเคยเห็นเปรตอยู่ที่วัดซึ่งมีลำตัวสูงเท่ากับเสาชิงช้า ซึ่งในบริเวณนี้จะมีพราหมณ์มาจับกลุ่มอยู่กันเป็นจำนวนมาก ในยุคนั้นในหลวงรัชกาลที่ 6ได้ทรงตรัสเรียก “เปรตสะพานหัน” เอาไว้เรียกพวกขอทาน
ผีเปรต มีความเชื่อต้นกำเนิดมาจากอินเดีย คือพวกเปรตเป็นจำพวกสัตว ในอบายภูมิของคนที่ตายไปแล้ว ภพภูมิของเปรตจะมีผู้ปกครองเป็น มหิทธิกา ลักษณะการแบ่งพวกนี้จะแยกด้วยผลกรรมของแต่ละตนว่าทำกรรมมาแบบไหน มีการจารึกเอาไว้เป็นเปตกถาด้วยซึ่งจะอยุ่ในสที่วัดพระเชตุพนฯแบ่งจำพวกเปรตออกเป็น 12 จำพวกดังต่อไปนี้
- วันตาสาเปรต = ลักษณะของเปรตนี้จะมีความอยากกินน้ำอยุ่ตลอดเวลาแต่ไมสามารถกินน้ำได้ ต้องกินเสมหะ กินเหงื่อ หรือกินของเหลือเดนของผู้อื่น เปรตในตระกูลนี้จะทำกรรมมาจากการที่ตัวเองมีความขี้เหนียว ใครที่มาขออาหาร ก็ไม่ยอมให้แถมยังสบถใส่ทำรังเกียจทำกิริยาไม่ดีใส่เขาด้วยการถ่มน้ำลายใส่ ไม่เคารพในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
- กุณปขาทาเปรต = เปรตที่อยู่ด้วยการกินซากศพ อุบัติเป็นเปรตเนื่องด้วยชาติที่แล้วมีตระหนี่ไม่บริจาคไม่มีความเคารพในการให้ทาน
- คูถขาทาเปรต = เปรตตระกูลนี้จะกินอุจจาระเป็นอาหาร กรรมที่ทำชาติที่แล้วมีความขี้เหนียวกับญาติของตนเอง ไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆทั้งสิ้นแถมขับไล่อีกด้วยการด่าหยาบคายด้วย
- อัคคิชาลมุขาเปรต = ลักษณะจะมีไฟลุกที่ปากเกิดการเจ็บปวดตลอดเวลา กรรมที่ทำมาจากชาติที่แล้วมีความตระหนี่ แกล้งคนอื่นด้วยการให้ของร้อนคนที่มาขออาหารกินทำให้ได้ความทุกข์
- สุจิมุขาเปรต = ลักษณะร่างประหลาดท้องจะใหญ่คอจะยาวปากเท่ารูเข็มกินอะไรไม่ได้ กรรมที่ทำด้วยไม่เคยทำบุญตักบาตร แถมจะยุให้คนอื่นทำตามตนด้วย
- ตัณหาชิตาเปรต = เป็นเปรตที่กระหายน้ำตลอด เห็นบ่อหรือสระก็จะวิ่งไปด้วยอาการดีใจแต่พอไปถึงบ่อน้ำนั้นจะหายไปกลายเป็นเลือด กรรมที่ทำชาติที่แล้วมีความหวงน้ำไม่ให้ใครได้ใช้ดื่มกิน
- นิชฌามักกาเปรต = เปรตที่ร่างกายมีแต่กระดูก ตัวเหม็นมือเท้าหงิก มีเขี้ยวงอกอยุ่สถานที่เดิมไปไหนไม่ได้ กรรมที่ทำชาติก่อนมีจิตใจที่หยาบคายจิตอกุศล เกลียดคนมีศีล เบียดเบียนคนแก่ ฆ่าท่านทำให้ตกใจเพื่อจะได้ครองสมบัติ
- สัพพังคาเปรต = เป็นเปรตที่เล็บมือเท้ายาวคมเหมือนอาวุธ มีไว้เพื่อข่วนร่างกายตัวเองให้เป็นอาหารตัวเอง กรรมที่ทำมาชาติที่แล้วเป็นคนที่ชอบเอาเปรียบชาวบ้าน รังแกพ่อแม่ตัวเองจากการหยิกข่วน
- ปัพพตังคาเปรต = เป็นเปรตที่ร่างกายสูงใหญ่เหมือนภูเขา กายเหมือนถูกไฟคอกตลอดเวลา ต้องนอนกลิ้งเพื่อให้ไฟดับบ้างเพราะได้รับความทุกแสนสาหัส กรรมที่สร้างชาติที่แล้ว เป็นคนที่เผากฏิ เผาบ้าน เผาโรงเรียน
- อชครเปรต = เป็นเปรตร่างสัตว์เดียรัจฉาน ซึ่งร่างจะถูกเผาไหม้ตลอดเวลา ทำกรรมจากเมื่อเห็นนักบวชจะมีการด่าหรือเปรียบเทียบท่านเป็นสัตว์ ไม่ให้ทาน
- เวมานิกเปรต = เป็นเปรตที่มีวิมารเป็นของตัวเอง เป็นเทวดาในตอนกลางวัน กลางคืนเป็นเปรต กรรมที่ทำชาติที่แล้ว เป็นคนที่ทำบุญเยอะแต่ไม่รักษาศีลควบคู่ไปด้วย มีข้อสงสัยในบุญบาป
- มหิทธิกาเปรต = เปรตที่มีฤทธิ์เหมือนเทวดาแต่มีความหิวโหยตลอดกินสิ่งสกปรกเป็นอาหาร กรรมที่ทำชาติที่แล้วเป็นนักบวชแต่มีจิตใจที่มีความโลภ โกรธ หลง ไม่บำเพ็ญตามวิสัยของบรรพชิต
ที่มาข้อมูล