ความเชื่อเกี่ยกับ “ยักษ์” ของคนไทยบอกเล่ากันมารุ่นสู่รุ่น ปู่ย่าตายายบรรพบุรุษของเรา คนโบราณ ก็ต้องมีวลีเด็ดคือ “อย่าเป็นเด็กดื้อนะเดี๋ยวยักษ์จะมาจับกิน” พวกเราที่เป็นเด็กก็จะกลัวยักษ์มาจับพวกเรากินต้องทำตามที่ผู้ใหญ่สั่งเป็นอย่างดีเชียว เรื่องราวตำนานความเป็นมาของยักษ์มีรอบโลกจะต่างกันไปตามความเชื่อของคนที่อยู่เฉพาะถิ่นนั้นๆ เราจะมาเจาะดูกันกับเหล่าเผ่าพันธุ์ยักษ์ว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้าง
ความเชื่อ : “ยักษ์” ผู้ปกครอง
ต้องเล่าถึงที่มาของราชาแห่งยักษ์สะก่อน ท้าวเวสสุวรรณ ราชาแห่งยักษ์ หนึ่งในจตุโลกบาลทั้ง 4 ปกครองทางทิศเหนือ เป็นหัวหน้าเหล่าบรรดาอธิบดีทั้งสี่ ท้าวเวสสุวรรณท่านเคยได้เกิดมาในสมัยพระพุทธเจ้ามาก่อนท่านได้เกิดเป็นกษัตริย์ที่นามชื่อว่า พระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งเป็นพระราชยิดาของพระเจ้าอชาตศัตรู ท่านเป็นพระสหายของพระพุทธเจ้าก่อนที่จะทรงผนวช ปกครองอยู่ที่พระนครมคธ
ซึ่งในสมัยที่ท่านเป็นกษัตริย์อยู่ท่านได้ทำบุญเสริมบารมีเป็นอย่างมากท่านได้ทำที่ประทับให้กับพระพุทธเจ้า พระเจ้าพิมพิสารได้จัดสร้างวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาขึ้นที่มีขื่อว่า เวฬุวันมหาวิหาร พระองค์มีการสั่งสมบุญบารมีเป็นอย่างมาก ด้วยชะตากรรมเก่าที่ผ่านมาทำให้ท่านต้องถูกบุตรของท่านคือพระเจ้าอชาตศัตรูสังหารท่าน ด้วยก่อนท่านจะสิ้น ท่านได้เป็นพระอริยบุคคลในชั้นโสดาบันอยู่แล้ว
ท่านได้ไปบังเกิดเป็นยักษ์ผู้ที่มีชนชั้นศักดินาขั้นสูง ด้วยทีท่านมีบุญบารมีมากไม่ว่าจะเป็นบุญแห่งการถวายวัด หรือบุญใดๆที่ทำให้ท่านเป็นโสดาบันท่านสามารถเลือกไปบังเกิดที่ชั้นสวรรค์สูงกว่านี้ได้แต่ท่านเลือกที่จะมาบังเกิดที่สวรรค์ชั้นแรกคือ จตุมหาราชิกาชั้นนี้ท่านได้อธิบายว่าเป็นเพราะท่านเคยได้อาศัยอยู่ ณ สวรรค์ชั้นนี้มาก่อนจึงทำให้ท่านปรารถนามาประจำอยู่ ณ สวรรค์ชั้นแรกนี้เพราะความคุ้นเคย
ระบบสังคม : “ยักษ์”
เผ่าพันธุ์ของยักษ์ ผู้ซึ่งมีโทสะมาก เหล่าบรรดายักษ์พวกนี้ก็มีทั้งเพศชายและเพศหญิง มีการแบ่งชนชั้นออกเป็น 3 ประเภทได้แก่
- ยักษ์ชนชั้นสูง : ยักษ์ชนชั้นปกครอง ที่มีความประพฤติอยู่ในชั้นดีเลิศ และยินดีที่จะปฏิบัติธรรมรักษาศีลจนเป็นนิสัย มักจะมีการจัดแต่งชุดเป็นสีขาว และมีผิวพรรณที่ดูวรรณะสดใสผุดผ่อง ที่กายท่านมีรัศมีที่ส่องสว่างเป็นอย่างมาก ท่านจะมีนิสัยที่ละเอียดประณีตกว่ายักษ์ชั้นอื่นที่ไม่มีการรักษาศีลเสียอีก แถมหน้าตาท่านก็ไม่ได้น่ากลัวเหมือนกับยักษ์ทั่วไป และจะมีวิมานของท่านเป็นสีทองอีกด้วย
- ยักษ์ชนชั้นกลาง : ยักษ์ชนชั้นนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นยักษ์ที่เป็นบริวารคอยรับใช้ยักษ์ชนชั้นสูงอีกที
- ยักษ์ชนชั้นต่ำ : ยักษ์ชนชั้นนี้มักจะทำบุญมาน้อยมากส่งผลให้เกิดมามีรูปร่างหน้าที่ที่น่าเกลียด ลักษณะเป็น ผมจะหยิกตัวก็จะดำ ตาของยักษ์ชั้นนี้ก็จะโปนปูดออกมา มีผิวกายที่หยาบเปรียบเหมือนกับผิวกระดาษทราย และมีนิสัยที่ดุร้ายเป็นอย่างมาก
การกำเนิดและนิสัย “ยักษ์”
การบังเกิดของเผ่าพันธุ์ยักษ์จะแบ่งออกเป็นการกำเนิด 3 ประเภทได้แก่
- เกิดแบบโอปปาติกะ = พอเกิดออกมาปุ๊บก็จะมีร่างกายที่เจริญเติบโตทันที
- เกิดแบบชลาพชุ = เป็นการเกิดในครรภ์เหมือนกับมนุษย์
- เกิดแบบสังเสทชะ = เป็นการเกิดมาจากเหงื่อไคลสิ่งสกปรก
ยักษ์ที่ถือกำเนิดเกิดมาไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ตาม พวกยักษ์นี้จะเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นเจ้าแห่งโทสะ ชี้โมโห ใจร้อน ชื่นชอบในการแสดงความโกรธ และชอบจับมนุษย์กินเป็นอาหาร ใครก็ตามที่อาจจะหลงไปในดินแดนของพวกมันแล้วอาจไม่มีชิวิตกลับออกมาเพราะจะโดนยักษ์จับกินนั้นเอง แต่ก็ไม่เสมอไปเพราะยักษ์บางตนที่มีการรักษาศีลปฏิบัติธรรม ถือศีล ก็จะไม่ทำร้ายมนุษย์นั้นเอง
ยักษ์มักจะมีปัญหามากเหมือนกันในสังคมความเป็นอยู่ของพวกเชามีการแย่งชิงไม่ว่าจะเป็นแย่งคู่ครอง แย่งดินแดน แย่งอาหาร ปัญหาที่เกิดกับยักษ์นี้ก็จะดูคล้ายกับปัญหาของมนุษย์ทั่วไปอยู่ไม่น้อยเลย ผู้ที่จะบังเกิดเป็นยักษ์จะได้แก่ผุ้ที่ทำบุญด้วยความโกรธ โมโห หงุดหงิด แต่ถ้าคนๆนั้นมีบุญมากกว่าจะเป็นยักษ์ในชั้นสูงได้อยู่สวรรค์ แต่ถ้าใครที่ไม่มีบุญก็จะไปบังเกิดในยักษ์ชั้นล่างหรือยักษ์ที่อาศัยอยู่บนพื้นโลกมนุษย์
ยักษ์ชั้นล่างนี้จะคอยจับมนุษย์กินเป็นอาหาร แต่ถ้ายักษ์ที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะมีลักษณ์ร่างกายที่ไม่สมบ่วนพิการ มีผิวหยาบกระด้าง มีไฝเต็มไปหมด และจะมีนิสัยที่ขี้หงุดหงิด โมโหง่าย นี่เป็นการให้ทานด้วยจิตใจที่โมโห ถ้าใครที่ไม่อยากไปบังเกิดเป็นยักษืแล้วละก็ ขอให้ประพฤติปฏิบัติความดีกันเถอะ คนที่คอยรักษาศีลทำบุญบารมีจะมีจิตใจที่สงบไม่มีความโกรธหรือโทสะอยู่ จิตใจจะเบิกบานไปกับพระพุทธศาสนา เวลาทำบุญไม่ต้องรีบของให้ประณีตจิตใจบริสุทธิ์อย่าทำด้วยความโมโหเด็ดขาดไม่อย่างนั้น พิจารณาแล้วทำไม่ได้ตามที่กล่าวมาก็เตรียมตัวได้เลยว่าชาติหน้าท่านอาจเกิดเป็นยักษ์แน่นอน
ที่มาข้อมูล